Page 299 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 299
๒๘๖
หลักความศักดิ์สิทธิ์แห่งค าพพากษา (Res Judicata) ตรงกับหลักในเรื่องกฎหมายปิดปากโดย
ิ
ค าพิพากษา (Estoppel by Record) ซึ่งห้ามไม่ให้เถียงผลของค าพพากษาซึ่งได้วินิจฉัยไว้แล้ว และค าพิพากษา
ิ
มีผลเป็นการปิดปากไม่ให้คู่ความโต้เถียงเป็นอย่างอนได้ เฉพาะค าพพากษาซึ่งได้มีการวินิจฉัยไว้ในประเด็นที่
ื่
ิ
ตรงกันกับประเด็นที่กล่าวอางในคดีหลัง ในประเทศสหรัฐอเมริกาในบางต าราระบุว่าหลักกฎหมายปิดปากโดย
้
๓
ค าพิพากษานี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งตามหลักกฎหมายอเมริกันว่า Res Judicata
ที่มาและความส าคัญ
จากการศึกษาค้นคว้า แนวคิด ทฤษฎี หลักการส าคัญตลอดจนวัตถุประสงค์ในการให้มีการ
อทธรณ์ ฎีกาค าพพากษาของศาลล่างไปยังศาลสูงนั้นไม่ว่าจะเป็นการฎีกาแบบระบบสิทธิหรือระบบอนุญาตก็
ุ
ิ
ิ
ล้วนมีวัตถุประสงคเช่นเดียวกัน ตามหลักการตรวจสอบการพจารณาคดีของศาล “Double Degree of
ุ
Jurisdiction” ซึ่งหมายถึงคู่ความในคดีย่อมมีสิทธิที่จะอทธรณ์คัดค้านค าวินิจฉัยชี้ขาดของศาลได้หนึ่งครั้งเป็น
ิ
อย่างน้อย โดยหลักดังกล่าวถือว่าเป็นสิทธิของคู่ความในคดีที่จะได้รับการพจารณาพพากษาคดีของตนจาก
ิ
ื่
ศาลสองชั้นศาลที่ต่างกัน โดยต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขซึ่งมีข้อเท็จจริงอย่างเดียวกันเพอเป็นหลักประกันความ
ิ
ยุติธรรมให้แก่คู่ความ โดยให้มีการทบทวน ตรวจสอบ ค าพพากษาของศาลให้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย
ิ
ั่
่
สร้างความเชื่อมน การยอมรับและเคารพในค าพพากษาของศาลแกคู่ความและประชาชนในสังคม เพื่อให้มีการ
แก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมโดยวิธีการที่สันติและสามารถอยู่ร่วมกัน ในสังคมต่อไปได้โดยไม่มีความ
ุ
รุนแรงเกิดขึ้น แต่การฎีกาค าพพากษาของศาลอทธรณ์ต่อศาลฎีกาในประเทศที่มีการใช้ระบบกฎหมายแบบ
ิ
ซีวิลลอว์หรือคอมมอนลอว์จะน าระบบอนุญาตให้ฎีกามาใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศต่างๆ เช่น ประเทศ
ฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ อิตาลี เบลเยียม และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น โดยองค์คณะของผู้พิพากษาศาลฎีกาของ
แต่ละประเทศเป็นผู้มีอานาจพจารณาว่าจะอนุญาตให้ฎีกาหรือไม่ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายก าหนดไว้
ิ
เพอกลั่นกรองคดีที่สมควรจะขึ้นสู่การพิจารณาพพากษาของศาลฎีกา ทั้งนี้ เพอไม่ให้มีปริมาณคดีขึ้นสู่ศาลฎีกา
ื่
ื่
ิ
ิ
เกินสมควรและเพอให้การพจารณาพพากษาคดีของศาลฎีกาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถอานวยความ
ิ
ื่
ั
ยุติธรรมให้แก่คู่ความในคดีได้อย่างเหมาะสมเป็นธรรม และศาลฎีกาของประเทศที่พฒนาแล้วเหล่านี้รวมทั้งใน
ประเทศต่างๆ จ านวนมากจะวินิจฉัยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ไม่วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริง การยื่นฎีกาจึง
กระท าได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น
ส าหรับประเทศไทยนั้นศาลเป็นสถาบันที่ใช้อานาจตุลาการในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ซึ่งมี
ุ้
บทบาทและหน้าที่ในการให้ความคมครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ โดยมี
หน้าที่หลัก คือพจารณาพพากษาอรรถคดีตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายให้เป็นไปโดยรวดเร็ว เป็นธรรม
ิ
ิ
ุ
และปราศจากอคติทั้งปวง โดยระบบศาลยุติธรรมแบ่งเป็น ๓ ชั้นศาล ประกอบด้วยศาลชั้นต้น ศาลอทธรณ์
ื่
ุ
ุ
ิ
และศาลฎีกา เพอให้คู่ความที่ไม่พอใจค าพพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอทธรณ์ใช้สิทธิอทธรณ์ฎีกาต่อไป
่
แต่เดิมมาการฎีการะบบสิทธิ คู่ความในคดีแพงมีสิทธิฎีกาค าพพากษาหรือค าสั่งของศาลทั้งปัญหาข้อเท็จจริง
ิ
่
ิ
และปัญหาข้อกฎหมายได้ตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความแพง โดยจ ากัดสิทธิฎีกา
ในปัญหาข้อเท็จจริงเฉพาะคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจ านวนทุนทรัพย์ ที่พพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท
ิ
ั
้
และคดีฟองขับไล่บุคคลใดๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อนมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะยื่นค าฟองไม่เกินเดือนละ
้
ิ
๑๐,๐๐๐ บาท แต่คดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงนั้น กฎหมายก็ยังเปิดโอกาสให้ฎีกาได้เมื่อผู้พพากษาที่นั่ง
พิจารณาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีความเห็นแย้งหรือรับรองให้ฎีกาตามประมวล
______________________
๓ เรื่องเดียวกัน