Page 309 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 309

๒๙๖


               บทสรุปและข้อเสนอแนะ

                                                 ิ
                                                                        ุ
                      จากการศึกษากรณีการฎีกาค าพพากษาหรือค าสั่งของศาลอทธรณ์จะกระท าได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาต
                                                                                     ิ่
               จากศาลฎีกาแล้วพบว่า หลักการและเหตุผลของการตราพระราชบัญญัติแก้ไขเพมเติมประมวลกฎหมาย
               วิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๗) พ.ศ. ๒๕๕๘ คือบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

                           ในส่วนการฎีกาไม่สามารถกลั่นกรองคดีที่ไม่เป็นสาระอนควรแก่การวินิจฉัยของศาลฎีกาได้อย่างมี
                                                                       ั
               ประสิทธิภาพเพียงพอ ท าให้การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลฎีกาเกิดความล่าช้า ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น

                                                           ื่
                                                                   ิ
                                                                           ิ
               และความศรัทธาที่มีต่อระบบศาลยุติธรรม ดังนั้น เพอให้การพจารณาพพากษาคดีของศาลฎีกาเป็นไปอย่างมี
               ประสิทธิภาพให้ความเป็นธรรมแก่บุคคลที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้อย่างแท้จริงและรวดเร็วขึ้น จึงก าหนดให้คาลฎีกา
                                                                                                     ิ่
               มีอ านาจพิจารณาว่าคดีที่ได้ยื่นฎีกาใดสมควรอนุญาตให้ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกา จึงได้มีการแก้ไขเพมเติม
               ประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความแพงตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพมเติมประมวลกฎหมายวิธีพจาณาความ
                                                                        ิ่
                                                                                                ิ
                                                ่
                                  ิ
                  ่
                                       ๒
                                                                        ี
                                                                             ื่
               แพง (ฉบับที่ ๒๗) พ.ศ.  ๕ ๕ ๘   โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพยงเพอลดปริมาณคดีในชั้นศาลฎีกา
               แต่หลังจากที่พระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับแล้วท าให้คดีที่เคยต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามมาตรา
                                                                ิ
               ๒๔๘ เดิม คือคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจ านวนทุนทรัพย์ที่พพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทหรือไม่เกิน
               จ านวนที่ก าหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกา สามารถยื่นฎีกาตามพระราชบัญญัตินี้ได้ จึงอาจท าให้ปริมาณการยื่น
               ฎีกาและค าร้องขออนุญาตฎีกาเพมขึ้นจ านวนมากซึ่งเป็นการเพมภาระงานของศาลฎีกาในการพจารณาค าร้อง
                                                                                              ิ
                                                                   ิ่
                                           ิ่
               ขออนุญาตฎีกา
                                   ิ
                           ส่วนการพจารณาค าร้องนั้น มาตรา ๒๔๙ ก าหนดให้ศาลฎีกาพจารณาอนุญาตให้ฎีกาได้เมื่อ
                                                                                 ิ
               เห็นว่าปัญหาตามฎีกานั้นเป็นปัญหาส าคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย รวมถึงกรณีดังต่อไปนี้
                            (๑) ปัญหาที่เกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะ หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน

                                                             ุ
                            (๒) เมื่อค าพพากษาหรือค าสั่งของศาลอทธรณ์ได้วินิจฉัยข้อกฎหมายที่ส าคัญขัดกันหรือขัดกับ
                                      ิ
               แนวบรรทัดฐานของค าพิพากษาหรือค าสั่งของศาลฎีกา
                                                        ุ
                                                                                                    ิ
                            (๓) ค าพพากษาหรือค าสั่งของศาลอทธรณ์ได้วินิจฉัยข้อกฎหมายที่ส าคัญซึ่งยังไม่มีแนวค าพพากษา
                                  ิ
               หรือค าสั่งของศาลฎีกามาก่อน
                            (๔) เมื่อค าพิพากษาหรือค าสั่งของศาลอุทธรณ์ขัดกับค าพิพากษาหรือค าสั่งอันถึงที่สุดของศาลอื่น

                            (๕) เพื่อเป็นการพัฒนาการตีความกฎหมาย
                            (๖) ปัญหาส าคัญอื่นตามข้อก าหนดของประธานศาลฎีกา

               หากเหตุผลที่ใช้ประกอบในการยื่นค าร้องขออนุญาตฎีกาไม่เข้าองค์ประกอบตาม (๑ ) ถึง (๖) ข้อใดข้อหนึ่งแล้ว

               ย่อมจะไม่ได้รับอนุญาตให้ยื่นฎีกา และเหตุผลตามปัญหาส าคัญ (๑) ถึง (๖) ก็เป็นเรื่องยากที่จะใช้อางในค าร้อง
                                                                                                ้
               ขออนุญาตยื่นฎีกาเพอโต้แย้งค าพพากษาศาลอทธรณ์ว่าเป็นค าพพากษาที่ขัดต่อข้อใดข้อหนึ่งของ (๑) ถึง (๖)
                                           ิ
                                                      ุ
                                 ื่
                                                                     ิ
               ดังนั้น การก าหนดให้การพจารณาค าร้องขออนุญาตฎีกาเป็นระบบอนุญาตที่ศาลฎีกาต้องใช้ดุลพนิจในการ
                                      ิ
                                                                                                 ิ
               อนุญาต โดยไม่ได้บัญญัติหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขในกฎหมายไว้อย่างชัดเจนแน่นอน ท าให้ประชาชนไม่สามารถ
               รับทราบและศึกษาหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขในการอนุญาตฎีกาล่วงหน้าก่อนที่จะมีคดีความขึ้นสู่ศาล จึงอาจ
                                                                                                 ิ
               กระทบต่อสิทธิของคู่ความในการยื่นฎีกาและเกิดความไม่เป็นธรรมในการสู้คดี อกทั้งมีข้อควรพจารณาว่า
                                                                                     ี
   304   305   306   307   308   309   310   311   312   313   314