Page 484 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 484

๔๗๒


                            ๑) ต้องมีเหตุผลและเป็นไปตามกฎหมาย (Reasoning) ผู้ใช้ดุลพนิจหรือผู้มีอานาจตาม
                                                                                     ิ

                                     ิ
                 กฎหมายจะต้องใช้ดุลพนิจนั้นอย่างมีเหตุผลพอเหมาะพอควรแก่กรณี แม้ว่ากฎหมายให้เลือกได้ว่าจะรอ
                 การลงโทษหรือไม่รอการลงโทษก็อยู่ที่ศาลจะเห็นสมควร จะก าหนดโทษหนักหรือโทษเบาอย่างไรก็อยู่ที่
                 ศาลเห็นสมควร แต่การใช้ดุลพนิจอย่างนั้นจะเป็นไปตามอาเภอใจของศาลหรือของผู้พพากษาไม่ได้ ต้องมี
                                          ิ
                                                                                        ิ

                 เหตุผลมีหลักเกณฑ์อธิบายได้ในการใช้ดุลพินิจแต่ละครั้ง ส่วนการใช้ดุลพินิจอย่างไรจึงจะไม่อยู่ในลักษณะที่

                 เป็นเรื่องของการท าตามอาเภอใจนั้น จะต้องใช้โดยมีมูลเหตุจูงใจที่ถูกต้องเมื่อศาลใช้ดุลพินิจโดยมูลเหตุจูง
                 ใจที่ผิดไปจากที่กฎหมายประสงค์หรือต้องการ หรือมีมูลเหตุจูงใจในการใช้ดุลพินิจไปในทิศทางที่ไม่ได้อยู่ใน

                 วัตถุประสงค์ของกฎหมายเรื่องนั้นเลย การใช้ดุลพินิจอย่างนั้นไม่ชอบ
                            ๒) หลักความสอดคล้อง (Consistency) หมายถึง เรื่องของความสอดคล้องต้องกันของการ

                 ใช้ดุลพนิจในเรื่องเดียวกัน ต้องมีความมั่นคงไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ฝ่ายตุลาการเองเป็นผู้วางหลักเกณฑ์
                       ิ
                 เอาไว้ว่าการใช้ดุลพนิจในเรื่องเดียวกันที่ไม่มีอะไรผิดแผกแตกต่างกันนั้น ควรจะต้องเป็นไปในทิศทาง
                                  ิ
                                                                                            ี
                                      ิ
                                                                        ิ
                 เดียวกัน ไม่ใช่วันนี้ใช้ดุลพนิจในเรื่องนี้ไปทางหนึ่ง วันรุ่งขึ้นใช้ดุลพนิจในเรื่องเดียวกันนี้ไปอกทางหนึ่ง เอา
                 หลักเอาเกณฑ์ไม่ได้ ลักษณะอย่างนี้จะเป็นการใช้ดุลพินิจแบบอาเภอใจ ไม่ใช่การใช้ดุลพนิจที่ชอบ ดุลพินิจ
                                                                                         ิ

                 ในทางตุลาการในทุกเรื่องจ าเป็นต้องอยู่ในกรอบของความเป็นเอกภาพ ไม่ลักลั่น และต้องค านึงถึงแนว
                 บรรทัดฐานของศาลเองในกรณีเดียวกันนั้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นบรรทัดฐานของศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ หรือของ

                 ศาลชั้นต้นในภาคเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศาลเดียวกัน ถึงแม้ผู้พิพากษาจะคนละคน คนละองค์คณะ
                 นั่นก็ไม่ใช่ข้ออางของศาลที่จะบอกว่าเป็นเหตุให้มีความชอบธรรมที่จะใช้ดุลพินิจในเรื่องเดียวกันให้แตกต่าง
                            ้
                 กันได้
                                                                                                      ิ
                            ๓) หลักของความได้สัดส่วนตามความหนักเบาแห่งกรณี (Proportionality) การใช้ดุลพนิจ
                 นั้น จ าเป็นต้องค านึงถึงความเป็นธรรมและความพอเหมาะพอควรในแต่ละเรื่องด้วย ซึ่งดูเผินๆ เหมือนว่า

                                                                     ิ
                 จะไปขัดแย้งกับข้อก่อนหน้านี้ที่ว่า ในเรื่องเดียวกันต้องใช้ดุลพนิจให้เหมือนกันไม่แตกต่างกันแต่ในขณะ
                 เดียวกันก็ต้องใช้ดุลพินิจให้เหมาะสมพอเหมาะพอควรแก่กรณีในแต่ละเรื่องด้วย แท้ที่จริงแล้วหลักเกณฑ์ ๒

                                                                                                 ั
                 ข้อนี้หาได้ขัดแย้งกัน กล่าวคือ ถ้ามีเหตุผลมีพฤติกรรมในแต่ละกรณีอธิบายให้เห็นความแตกต่างกนได้ การ
                 ใช้ดุลพนิจในแต่ละกรณีก็ควรจะต้องแตกต่างกัน ไม่จ าเป็นต้องเหมือนกันหมดเช่น ในเรื่องบัญชีมาตรฐาน
                       ิ
                 การลงโทษที่ใช้ในการวางดุลพนิจในการก าหนดโทษในทางอาญา การมีบัญชีมาตรฐานการลงโทษเป็นการ
                                          ิ
                                 ิ
                 ก ากับให้การใช้ดุลพนิจของศาลในระดับเดียวกัน ในภาคเดียวกัน ในศาลเดียวกันเป็นเอกภาพไม่ลักลั่น ไม่
                 แตกต่างในกรณีเดียวกัน แต่ในขณะเดียวกันการเคร่งครัดอยู่กับบัญชีมาตรฐานการลงโทษก็จะท าให้เกิด
                 ช่องว่างในการที่จะท าให้ค าตัดสินหรือการวินิจฉัยในแต่ละเรื่องที่มีความแตกต่างกันในรายละเอยดไม่ได้
                                                                                                 ี
                 สัดส่วนพอเหมาะพอควรกับกรณี หาวิธีที่จะท าให้ดุลพนิจของศาลสามารถสอดคล้องกับหลักการในทาง
                                                               ิ
                 หลักวิชาการของกรอบการใช้ดุลพินิจกล่าวคือ เป็นเอกภาพไม่แตกต่างในเรื่องที่เหมือนกัน แต่ขณะเดียวกัน




                 ศึกษาของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ กรณีขับรถในขณะเมาสุรา. งานเอกสารวิชาการส่วนบุคคล หลักสูตร “ผู้บริหารกระบวนการ
                 ยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.)” รุ่นที่ ๑๒
   479   480   481   482   483   484   485   486   487   488   489