Page 488 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 488

๔๗๖


                 ๕๓๗๒/๒๕๕๖  มิใช่เพมโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๒ ผู้พพากษาส่วนหนึ่งมองว่า
                                                                                   ิ
                              ๒๒
                                       ิ่
                 พฤติการณ์การกระท าความ ผิดลักษณะนี้เป็นเรื่องร้ายแรงจึงใช้ดุลพินิจลงโทษจ าคุกจ าเลย ตามค าพิพากษา
                                      ๒๓
                 ศาลฎีกาที่ ๒๓๘๕/๒๕๖๐


                            ค าพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๐๕๐/๒๕๕๓
                            โจทก์ฟองขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๘,
                                  ้
                                                                                         ั
                 ๕๗, ๙๑ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ ทวิ, ๑๕๗/๑ และพกใช้หรือเพกถอน
                                                                                                   ิ
                 ใบอนุญาตขับขี่รถของจ าเลย
                            จ าเลยให้การรับสารภาพ

                                       ิ
                            ศาลชั้นต้นพพากษาว่า จ าเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒
                 มาตรา ๕๗, ๙๑ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ ทวิ วรรคหนึ่ง, ๑๕๗/๑ วรรคสอง
                 การกระท าของจ าเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติ

                 จราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ ทวิ วรรคหนึ่ง, ๑๕๗/๑ วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติ
                 ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙๑ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมาย

                 อาญา มาตรา ๙๐ จ าคุก ๘ เดือน จ าเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพจารณา มีเหตุบรรเทา
                                                                                      ิ
                 โทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจ าคุก ๔ เดือน พกใช้ใบอนุญาตขับขี่รถ
                                                                                      ั
                 ของจ าเลยเป็นเวลา ๖ เดือน

                            จ าเลยอุทธรณ์
                            ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน

                            จ าเลยฎีกาโดยผู้พพากษาซึ่งพจารณาและลงชื่อในค าพพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาใน
                                                                          ิ
                                                     ิ
                                           ิ
                 ปัญหาข้อเท็จจริง
                            ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและ

                                ุ
                 ค าพพากษาศาลอทธรณ์เป็นที่สุดหรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติวิธี
                     ิ
                 พจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๕ บัญญัติว่า “ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด” หมายความว่า
                  ิ
                 ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด และ “กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด” หมายความว่า

                 กฎหมายว่าด้วยการป้องกันการใช้สารระเหย กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด

                 กฎหมายว่าด้วยมาตรการในการปราบปรามผู้กระท าความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด กฎหมายว่าด้วยยาเสพติด
                                                                                 ้
                 ให้โทษและกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท คดีนี้โจทก์ฟองขอให้ลงโทษจ าเลยตาม
                 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๗, ๙๑ และพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.


                        ๒๒  กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา. ค าพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๓๗๒/๒๕๕๖ (ออนไลน์)  (๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๔)
                 https://deka.supremecourt.or.th/search

                        ๒๓  กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา.. ค าพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๓๘๕/๒๕๖๐ (ออนไลน์) (๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๔)
                 https://deka.supremecourt.or.th/search
   483   484   485   486   487   488   489   490   491   492   493