Page 485 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 485

๔๗๓


                 ก็สามารถมีความพอเหมาะพอควรและเป็นธรรมได้เหมาะสมกับแต่ละคดีที่สามารถชี้ให้เห็นความแตกต่าง

                 กันได้ ขึ้นอยู่กับศาลเองหรือผู้ใช้ดุลพินิจเองจะต้องวิเคราะห์ความแตกต่างใน ๒ เรื่องนี้ออกมาให้ได้เสียก่อน

                                                                                         ั
                                                                                                ั
                 ถ้าสามารถชี้ให้เห็นความแตกต่างได้แล้ว จึงจะหลุดจากหลักการในเรื่องของความเป็นอนหนึ่งอนเดียวกัน
                 มาสู่ความพอเหมาะพอควรในแต่ละกรณีได้
                            ๔) หลักการใช้ดุลพนิจต้องไม่เป็นไปตามอาเภอใจ (Discretionary) ประการที่ส าคัญที่สุด
                                             ิ

                 ประการสุดท้ายที่จะท าให้การใช้ดุลพนิจไม่เป็นไปโดยอาเภอใจ เป็นการใช้ดุลพนิจที่อยู่ในหลักเกณฑ์ใน
                                                                                    ิ
                                                ิ

                                                                         ิ
                 กรอบของความถูกต้องชอบธรรมนั้นเป็นจริงได้ เป็นการใช้ดุลพนิจที่โปร่งใสที่สามารถให้ประชาชน
                 คาดหมายผลสุดท้ายของการใช้ดุลพินิจในเรื่องนั้นได้พอสมควร และยังท าให้ศาลสูงสามารถตรวจสอบ การ
                                             ิ
                                                                                                      ิ
                                                                             ี
                 วางกฎเกณฑ์ตายตัวว่าการใช้ดุลพนิจทุกครั้งทุกกรณีต้องให้เหตุผลอย่างเพยงพอและชัดเจน การใช้ดุลพนิจ
                                                                                                     ิ
                 ที่ไม่ให้เหตุผลนั้นจะเป็นการท าลายระบบที่ต้องการจะวางกรอบกฎเกณฑ์ เงื่อนไขและระบบการใช้ดุลพนิจ
                                                         ิ
                 ทั้งหมด เพราะถ้าไม่ต้องให้เหตุผลในการใช้ดุลพนิจนั้นก็ไม่อาจตรวจสอบว่าเป็นการใช้โดยมูลเหตุจูงใจผิด
                 หรือถูก เป็นการใช้ดุลพนิจโดยหวังประโยชน์ส่วนตัวหรือว่าประโยชน์ส่วนรวมเป็นการใช้โดยอาเภอใจหรือ
                                    ิ

                 โดยมีเหตุมีผลพอเหมาะพอควรแก่เรื่องหรือไม่ และสาธารณชนจะทราบได้อย่างไรว่าที่ศาลใช้ดุลพินิจอย่าง
                                                                         ุ
                 นั้นเนื่องมาจากอะไร แล้วจะปรับแก้อย่างไรให้ถูกต้อง หรือเขาจะอทธรณ์ฎีกาได้อย่างไร แล้วศาลสูงจะ
                                                                           ุ
                                                  ิ
                 ตรวจสอบได้อย่างไรว่าที่ศาลล่างใช้ดุลพนิจมานั้นถูกต้องอย่างไร การอทธรณ์ในเรื่องดุลพินิจที่ไม่ให้เหตุผล
                                                                                                ิ
                                                     ี
                        ี
                 ก็เป็นเพยงแต่การขอให้ศาลใช้ดุลพินิจใหม่อกครั้งหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่เป็นการตรวจสอบการใช้ดุลพนิจของผู้ที่
                                         ิ
                 ควรจะเป็นหลักในการใช้ดุลพนิจองค์ประกอบในการใช้ดุลพินิจในการลงโทษหลักเกณฑ์ในการก าหนดโทษ
                                                                                 ิ
                 ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยตรง ดังนั้น การก าหนดโทษจึงเป็นเรื่องการใช้ดุลพนิจของศาล กล่าวคือ ศาลมี
                 อิสระที่จะลงโทษจ าเลยเท่าที่ไม่เกินอัตราที่กฎหมายก าหนดไว้ส าหรับความผิดนั้น
                            ในทางปฏิบัติอาจกล่าวได้ว่าองค์ประกอบที่ศาลจะน ามาพจารณาเพอใช้ในการลงโทษแก่
                                                                              ิ
                                                                                      ื่
                 ผู้กระท าความผิดนั้นจะต้องค านึงถึงสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้
                            ๑) ข้อเท็จจริงในคดี ในการพจารณาลงโทษผู้กระท าความผิด ความผิดที่ผู้กระท าแต่ละคน
                                                     ิ
                 กระท าไปนั้นแม้จะเป็นความผิดฐานเดียวกัน แต่ข้อเท็จจริงในคดี เช่น ลักษณะการกระท าความผิดลักษณะ

                 ของผู้กระท าความผิดย่อมแตกต่างกันไป การวางโทษให้เหมาะสมเพียงรายนั้นจึงขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงต่าง ๆ
                 ในคดี เช่นสภาพความผิดและพฤติการณ์แห่งคดี มูลเหตุในการกระท าความผิด ลักษณะของผู้กระท า

                                                                                       ี่
                 ความผิดตลอดถึงเหตุอื่นๆ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับความผิดที่ผู้กระท าความผิดได้กระท าเท่าทพอจะรวบรวมได้จาก
                 การพจารณาคดีนั้นๆ แล้วจึงวางโทษที่จะลงให้เหมาะสมการพจารณาวางโทษให้เหมาะสมกับผู้กระท า
                                                                      ิ
                      ิ
                 ความผิดแต่ละคนประกอบด้วยลักษณะของผู้กระท าความผิด ควรพจารณาถึงความชั่วร้ายของผู้กระท า
                                                                          ิ
                 ความผิดคือแยกเป็นการกระท าโดยเจตนากับโดยประมาท ส าหรับการกระท าโดยเจตนานั้นต้องดูจิตใจของ
                 ผู้กระท าความผิดโดยอาศัยจากหลักที่ว่า “กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา” การกระท าอย่างเดียวกันอาจจะมี

                 ความรุนแรงมากน้อยแตกต่างกัน อาการกิริยาที่ผู้กระท าความผิดแสดงออกในเวลากระท าความผิด เป็น
                 การแสดงถึงนิสัยใจคอของผู้กระท าความผิด ควรน ามาพจารณาประกอบกับเหตุและจุดประสงค์ของ
                                                                  ิ
                 ผู้กระท าความผิด ส่วนความผิดที่กระท าโดยประมาท ควรค านึงว่าผู้กระท าความผิดได้กระท าโดยความมัก
   480   481   482   483   484   485   486   487   488   489   490