Page 818 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 818

๘๐๖

                 พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติมาเป็นเหตุผลประกอบการวินิจฉัย ซึ่งผู้เขียนเห็นด้วยกับแนวทางของศาล

                 ตามความเห็นที่สอง อย่างไรก็ตาม แนวทางของศาลทั้งสองความเห็นซึ่งต่างให้เหตุผลในการตัดสินใน
                                                                                               ุ
                 ปัญหาข้อกฎหมายโดยมิได้กล่าวถึงหลักการส าคัญของบทบัญญัติว่าด้วยโทษอปกรณ์ที่ว่า โทษอปกรณ์เป็น
                                                                                 ุ
                                           ื่
                 เพียงมาตรการบังคับทางอาญาอนที่เพมเติมขึ้นจากโทษตามประมวลกฎหมายอาญาไว้เลย ทั้งนี้ เพราะการ
                                                ิ่
                 น าไปปรับใช้แก่คดีอาจแยกส่วนจากประเด็นความรับผิดในโทษทางอาญาของจ าเลยได้ หากได้ยึดถือ
                 แนวทางของศาลตามความเห็นที่สองน ามาประกอบกับหลักการของโทษอุปกรณ์ที่ได้กล่าวมา ย่อมส่งผลท า

                 ให้นักกฎหมายมีข้ออธิบายหรือมีความรู้ความเข้าใจกับกรณีศึกษาได้แจ่มแจ้งชัดเจนขึ้น ผู้เขียนจึงขอเสนอ

                 ให้การการตีความกฎหมายบทบัญญัติว่าด้วยโทษอุปกรณ์ตามมาตรา ๓๑ วรรคสาม เพื่อให้เกิดความชัดเจน
                 ในทางวิชาการ นอกจากตีความตามเจตนารมณอนเป็นความมุ่งหมายที่แท้จริงของพระราชบัญญัติป่าสงวน
                                                         ั
                                                        ์
                 แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ แล้ว ยังต้องเป็นไปตามหลักการของมาตรการบังคับทางอาญาอนซึ่งมิใช่ถือเป็นโทษ
                                                                                        ื่
                 ทางอาญา แต่น ามาปรับใช้แก่การกระท าของจ าเลยที่มีความเกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยความรับผิดโทษทาง

                 อาญาตามประมวลกฎหมายอาญาได้ กล่าวคือ จ าเลยยังยึดถือหรือครอบครองในป่าสงวนแห่งชาติที่เกิด

                 เหตุโดยไม่มีสิทธิหรือได้รับยกเว้นตามกฎหมายอันเป็นการกระท าละเมิดต่อรัฐอย่างต่อเนื่องนั่นเอง แม้ศาล
                 จะพิพากษายกฟ้องโจทกก็ตาม
                                     ์

                            ข้อเสนอแนะ

                                                   ุ
                            เมื่อบทบัญญัติว่าด้วยโทษอปกรณ์ตามมาตรา ๓๑ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวน
                 แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม จึงถือเป็นการกระท าที่มีผลกระทบต่อส่วนรวม หาใช ่
                 เป็นการกระทบต่อปัจเจกบุคคลเป็นการส่วนตัว จึงมีความจ าเป็นเพ่อให้มีความชัดเจนและเกิด
                                                                               ื
                 ประสิทธิภาพสูงสุดในการปรับใช้กฎหมายว่าด้วยโทษอุปกรณ์ และลดทอนปัญหาเกี่ยวกับการตีความ

                 กฎหมายตามความเห็นของนักกฎหมายหรือศาลที่ไม่สอดคล้องกัน จึงเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาการ
                 ปรับใช้บทมาตราดังกล่าวกรณีศาลมีค าพิพากษายกฟ้องโจทก์ เพราะจ าเลยขาดเจตนากระท าความผิด

                 ตามฟอง โดยการแก้ไขบทบัญญัติของมาตรานี้ให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์และหลักการของกฎหมายว่า
                      ้
                                              ื
                 ด้วยมาตรการบังคับทางอาญาอ่นให้ชัดเจนขึ้นในลักษณะว่า เมื่อปรากฏว่าจ าเลยยังยึดถือหรือ
                 ครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ศาลสั่งให้จ าเลย คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน

                 และบริวารของจ าเลยออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตลอดจนสั่งให้จ าเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง  หรือน า
                 สิ่งใด ๆ อันก่อให้เกิดการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติภายใน

                 ระยะเวลาที่ก าหนด ไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามค าพิพากษาหรือไม่ ทั้งนี้ เมื่อมีการปรับใช้กฎหมายอย่าง
                 มีประสิทธิภาพแล้วย่อมท าให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด ประชาชนและชุมชนย่อมได้ใช้ประโยชน์จาก

                 ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลและยั่งยืนต่อไป.
   813   814   815   816   817   818   819   820   821   822   823