Page 817 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 817
๘๐๕
ึ
ื่
ั
ด้วยในส่วนของบทสรุปตอนท้ายเพอสนับสนุนแนวทางความเห็นดังกล่าวอนท าให้ข้ออธิบายถึงกรณีศกษานี้
มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
๕. บทสรุป
บทบัญญัติว่าด้วยโทษอปกรณ์ตามมาตรา ๓๑ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวน
ุ
แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ อนเป็นกรณีให้ศาลมีอานาจสั่งให้ผู้กระท าความผิด คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และ
ั
บริวารของผู้กระท าความผิดออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตลอดจนสั่งให้ผู้กระท าความผิดรื้อถอนสิ่งปลูก
สร้าง หรือน าสิ่งใด ๆ อันก่อให้เกิดการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติออกจากป่าสงวนแห่งชาติภายใน
ื่
ระยะเวลาที่ก าหนดนั้น เป็นมาตรการบังคับทางอาญาอนที่ส าคัญประการหนึ่งเพอช่วยคุ้มครอง ป้องกัน
ื่
และบ ารุงรักษาไว้ซึ่งสภาพป่าสงวนแห่งชาติอนจะมีผลต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยั่งยืน ถือเป็น
ั
ิ่
หลักการเพมเติมจากมาตรการบังคับทางอาญาที่กฎหมายได้ก าหนดโทษตามประมวลกฎหมายอาญาแก่
ุ
ั
ผู้กระท าความผิดที่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติฯ แม้วิธีการของโทษอปกรณ์อนเป็นสภาพข้อหา
ุ
่
และค าบังคับในทางแพงที่ถูกน ามาเป็นส่วนหนึ่งในคดีอาญาก็ตาม แต่วิธีการของโทษอปกรณ์ก็ไม่ใช่โทษ
ทางอาญาที่จะต้องอยู่ภายใต้หลักส าคัญตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒ ที่ว่า “ไม่มีความผิด ไม่มี
ิ่
โทษ หากไม่มีกฎหมาย” ยิ่งต่อมา มาตรา ๓๑ วรรคสาม ถูกแก้ไขเพมเติมตามพระราชบัญญัติป่าสงวน
แห่งชาติ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๙ บัญญัติให้อานาจศาลสั่งให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปด้วยดังกล่าวนั้น
ื่
ู
ื้
ท าให้เห็นถึงมาตรการของรัฐเพอบริหารจัดการและฟนฟสภาพป่าสงวนแห่งชาติอย่างเป็นระบบและเกิด
ประโยชน์ต่อส่วนรวมเป็นล าดับ เมื่อโจทก์ฟองขอให้ลงโทษจ าเลยตามมาตรา ๓๑ โดยมีค าขอในส่วนโทษ
้
ุ
ิ
อปกรณ์มาด้วย และศาลมีค าพพากษาลงโทษจ าเลยว่ากระท าความผิดตามมาตรานี้ เป็นอานาจของศาลที่
จะสั่งให้จ าเลยกระท าการตามวิธีการของโทษอุปกรณ์รวมอยู่ในรายการแห่งค าพพากษา หากศาลไม่สั่งหรือ
ิ
สั่งไม่ครบถือเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยได้ เมื่อกล่าวย้ าถึงว่าบทบัญญัติตามมาตรา ๓๑
ั
วรรคสาม เป็นวิธีการของโทษอปกรณ์ แต่ปัญหาที่พบอนเกิดจากนักกฎหมายตีความโดยเฉพาะ
ุ
ศาลยุติธรรมที่มีแนวทางความคิดเห็นการปรับใช้มาตรา ๓๑ วรรคสาม แก่คดีแตกต่างกันในกรณีศาล
ิ
ิ
พพากษายกฟองโจทก์เพราะจ าเลยขาดเจตนากระท าความผิด แต่ทางพจารณาได้ความว่าจ าเลยยังยึดถือ
้
หรือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติตามฟอง มีผลท าให้ศาลตามแนวทางความเห็นแรกยกค าขอ
้
ิ
ของโจทก์ เพราะมิได้พพากษาว่าจ าเลยกระท าความผิดตามมาตรา ๓๑ จึงไม่มีอานาจสั่งตามวิธีการของ
โทษอปกรณ์ได้ ส าหรับศาลตามแนวทางความเห็นที่สองวินิจฉัยว่าแม้ศาลจะมิได้พพากษาว่าจ าเลยกระท า
ุ
ิ
ุ
้
ความผิดตามฟอง แต่มีอานาจสั่งให้จ าเลยกระท าการตามวิธีการของโทษอปกรณ์ได้โดยผลและเจตนารมณ์
ของกฎหมาย อันมีผลท าให้ค าพพากษาขาดความเป็นเอกภาพ และอาจกระทบกระเทือนแก่ประชาชนและ
ิ
ชุมชนในท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง หากมีแนวทางหรือบรรทัดฐานของค าพพากษาแล้วย่อมส่งผลให้การใช้บังคับ
ิ
กฎหมายเกิดประสิทธิภาพสูงสุดทั้งกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ แนวทางของศาลตามความเห็นแรกมี
ั
ลักษณะให้เหตุผลเชิงเคร่งครัดตามกฎหมายตัวอกษร โดยมิได้กล่าวถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายป่าสงวน
แห่งชาติ ส าหรับแนวทางของศาลตามความเห็นที่สองได้หยิบยกเอาผลหรือเจตนารมณ์ของกฎหมายตาม