Page 814 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 814
๘๐๒
ื้
ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และเชื่อโดยสุจริตว่าจ าเลยที่ ๑ มีสิทธิครอบครองในพนที่เกิดเหตุซึ่งเป็นที่ดินที่
ื้
ได้รับตกทอดสืบต่อกันมาตั้งแต่ชั้นปู่ย่าตายายอนเป็นการส าคัญผิดในข้อเท็จจริงว่าพนที่เกิดเหตุไม่เป็นป่า
ั
ตามกฎหมายด้วย การกระท าของจ าเลยทั้งสองจึงขาดเจตนายึดถือครอบครองป่าสงวนแห่งชาติ ตาม
พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔, ๓๑ และไม่เป็นความผิดฐานก่นสร้าง แผ้วถาง
ั
หรือเผาป่า หรือกระท าด้วยประการใด ๆ อนเป็นการท าลายป่า หรือเข้ายึดถือหรือครอบครองป่า ตาม
ิ
พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๕๔, ๗๒ ตรี ที่ศาลอทธรณ์ภาค ๘ พพากษาลงโทษจ าเลยทั้ง
ุ
้
สองมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพองด้วย อย่างไรก็ดี แม้คดีจะฟงลงโทษจ าเลยทั้งสองไม่ได้ก็ตาม แต่เมื่อจ าเลย
ั
ทั้งสองยังครอบครองพนที่เกิดเหตุซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่มีสิทธิ ศาลก็ยังคงมีอานาจบังคับให้
ื้
จ าเลยทั้งสองออกไปจากที่ดินตามค าขอของโจทก์โดยผลของมาตรา ๓๑ วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติ
ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ได้
ค าพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๕๖๐ - ๒๕๖๘/๒๕๖๑
้
คดีทั้งเก้าส านวน ศาลชั้นต้นพจารณาและพพากษารวมกัน โจทก์ฟองขอให้ลงโทษจ าเลยทั้ง
ิ
ิ
เก้าส านวน (จ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ และที่ ๗ ถึงที่ ๑๐) ว่า เมื่อระหว่างวันใดไม่ปรากฏชัดถึงวันที่ ๑๕ ตุลาคม
๒๕๕๖ เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ และที่ ๗ ถึงที่ ๑๐ ต่างบุกรุกเข้าไปยึดถือ
ื่
ครอบครองป่าเพอตนเองและแผ้วถางป่าโดยปลูกสร้างบ้านและปลูกผลอาสินในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่า
กรุงชิง ต าบลกรุงชิง อ าเภอนบพิต า จังหวัดนครศรีธรรมราช เนื้อที่ของแต่ละคน อันเป็นการท าลายป่าและ
ท าให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่ได้รับยกเว้นตามกฎหมาย ขอให้ลงโทษ
ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๔, ๖, ๙, ๑๔, ๓๑ พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.
๒๔๘๔ มาตรา ๔, ๕๔, ๗๒ ตรี ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ และให้จ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ และที่ ๗ ถึง
ที่ ๑๐ กับบริวารออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุ
ิ
้
ิ
ศาลชั้นต้นพจารณาแล้วพพากษายกฟอง แต่ให้จ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ และที่ ๗ ถึงที่ ๑๐ พร้อมทั้ง
ิ
บริวารออกจากเขตป่าและป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุ ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ แผนกคดีสิ่งแวดล้อมพพากษายืน
ิ
ิ
จ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ และที่ ๗ ถึงที่ ๑๐ ฎีกา โดยผู้พพากษาซึ่งพจารณาและลงชื่อใน
ค าพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ิ
ระหว่างพจารณาของศาลฎีกา จ าเลยที่ ๒ ถึงแก่ความตาย และจ าเลยที่ ๓ และที่ ๗ ยื่น
ค าร้องขอถอนฎีกา ศาลฎีกาอนุญาต ให้จ าหน่ายคดีส าหรับจ าเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๗ ออกจากสารบบความ
ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟงได้ว่า จ าเลยที่ ๑ ที่ ๔ ที่ ๕ และท ๘
ี่
ั
ถึงที่ ๑๐ อยู่ในป่าสงวนแห่งชาติที่เกดเหตุ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟองส าหรับจ าเลยที่ ๑ ที่ ๔ ที่ ๕ และที่ ๘
ิ
้
ถึงที่ ๑๐ โดยเห็นว่าขาดเจตนากระท าความผิดที่โจทก์ฟอง ...แม้ศาลจะมิได้พิพากษาว่าจ าเลยที่ ๑ ที่ ๔
้
ที่ ๕ และที่ ๘ ถึงที่ ๑๐ กระท าความผิดตามที่โจทก์ฟองกตาม แต่ที่ดินที่เกดเหตุเป็นป่าสงวนแห่งชาติ หาก
ิ
็
้
ผู้ใดเข้ายึดถือครอบครองหรือท าประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมายแล้วย่อมมีความผิด การที่จ าเลยที่ ๑ ที่ ๔