Page 809 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 809
๗๙๗
ระบบนิเวศ ประโยชน์ของสาธารณะ ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อชีวิตสุขภาพอนามัยของบุคคล สิทธิใน
๔๗
สิ่งแวดล้อมของชนรุ่นหลัง และหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน จึงเป็นแนวหลักคิดที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ิ
นอกจากนี้ มีค าพพากษาของศาลฎีกาที่วินิจฉัยถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ
บทบัญญัติว่าด้วยโทษอุปกรณ์ที่น่าสนใจ
ิ
ค าพพากษาศาลฎีกาที่ ๕๓๓๒/๒๕๕๐ ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหา
ข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า เมื่อศาลพพากษาลงโทษจ าเลยทั้งสองตามประมวล
ิ
กฎหมายที่ดิน มาตรา ๑๐๘ ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา ๙๐ แล้ว ศาลจะต้องพพากษาให้จ าเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินและรื้อถอนสิ่ง
ิ
ปลูกสร้างที่ล่วงล้ าเข้าไปในทะเลสาบสงขลาตามมาตรา ๑๐๘ ทวิ วรรคสี่ ออกไปด้วยหรือไม่ ประมวล
กฎหมายที่ดิน มาตรา ๑๐๘ ทวิ วรรคสี่ บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีค าพพากษาว่าผู้ใดกระท าความผิดตาม
ิ
ิ
มาตรานี้ ศาลมีอานาจสั่งในค าพพากษาให้ผู้กระท าความผิด คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของ
ผู้กระท าความผิดออกไปจากที่ดินนั้นด้วย” จากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า เมื่อ
ิ
ศาลพพากษาว่าจ าเลยทั้งสองกระท าความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๑๐๘ ทวิ วรรคสอง ศาล
ย่อมมีอานาจสั่งในค าพพากษาให้จ าเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินที่เข้าไปยึดถือ ครอบครอง ถม
ิ
ดิน ซึ่งย่อมมีความหมายรวมถึงให้จ าเลยนั้นและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ล่วงล้ าเข้าไปในทะเลสาบ
สงขลาออกไปได้ด้วย ตามมาตรา ๑๐๘ ทวิ วรรคสี่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ พิพากษาว่า เมื่อลงโทษจ าเลย
ทั้งสองตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๙ (๑), ๑๐๘ ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด
แล้ว จึงไม่อาจอาศยบทที่มีโทษเบาตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ าไทย พ.ศ. ๒๔๕๖ มาบังคับให้
ั
จ าเลยทั้งสองและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ล่วงล้ าเข้าไปในทะเลสาบสงขลาตามที่โจทก์ขอได้ และให้ยก
ค าขอในส่วนนี้นั้นไม่ถูกต้อง เพราะการให้จ าเลยทั้งสองและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ล่วงล้ าเข้าไปใน
ทะเลสาบสงขลา มิได้อาศัยบทบัญญัติของพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ าไทย พ.ศ. ๒๔๕๖ มาตรา
๑๑๘ ทวิ ใช้บังคับแต่อย่างใด หากแต่เป็นการบังคับตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา
๑๐๘ วรรคสี่ ดังที่ได้วินิจฉัยมา ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
หมายเหตุ คดีนี้การที่ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อศาลมีอานาจสั่งในค าพพากษาให้จ าเลยทั้งสองและ
ิ
บริวารออกไปจากที่ดินที่เข้าไปยึดถือ ครอบครอง ถมดิน ซึ่งย่อมมีความหมายรวมถึงให้จ าเลยนั้นและ
บริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ล่วงล้ าเข้าไปในทะเลสาบสงขลาออกไปได้ด้วย น่าจะเป็นการตีความอย่างกว้าง
๔๗ ผู้ชวยศาสตรจารย์ ดร.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม หัวหน้าโครงการ, โครงการวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่าง
่
สิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน, ส านักงานคณะกรรมการ
สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กรุงเทพมหานคร: ๒๕๖๐), หน้า ๑๘๔.
ปฏิญญาแห่งที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ ค.ศ. 1972 (ปฏิญญาสตอกโฮล์ม) ระบุ
ว่า “มนุษย์มีสิทธิขั้นพื้นฐานการมีชีวิตที่มีเสรีภาพมีความเสมอภาค และมีเงื่อนไขที่เพียงพอในสภาพแวดล้อมที่มีคุณภาพที่
ี
ท าให้ชวิตมีศักดิ์ศรีและมีความเป็นอยู่ที่ดี และมนุษย์จะต้องรับผิดชอบในการปกป้องและปรับปรุงสิ่งแวดล้อมเพื่อคนรุ่น
ปัจจุบันและคนรุ่นอนาคต”.

