Page 805 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 805

๗๙๓

                              ๔๒
                 เป็นโทษก็ตาม  ศาสตราจารย์ ดร.คณิต ณ นคร กล่าวถึงหลักเกณฑ์การตีความกฎหมายอาญามี
                 ๔ หลักเกณฑ์ คือ

                            (๑) การตีความตามหลักภาษา

                                                      ั
                            (๒) การตีความตามความสัมพนธ์กันอย่างเป็นระบบของกฎหมาย

                            (๓) การตีความตามประวัติความเป็นมาของกฎหมาย

                                                                          ๔๓
                            (๔) การตีความตามความมุ่งหมายของตัวบทกฎหมาย

                            เมื่อพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๓๑ เป็นบทบัญญัติที่มีทั้งโทษทาง
                                                               ุ
                                                     ื่
                 อาญา และยังมีมาตรการบังคับทางอาญาอนหรือโทษอปกรณ์ ภายใต้หลักความชอบด้วยกฎหมายศาล
                 จึงสามารถตีความบทบัญญัติที่มีโทษทางอาญาโดยพิเคราะห์ตัวอักษรไปพร้อมกับเจตนารมณ์แห่ง
                 กฎหมายได้ แต่เมื่อวิเคราะห์กรณีศึกษาตามมาตรา ๓๑ วรรคสาม แล้ว จะเห็นได้ว่าเป็นบทบัญญัติว่าด้วย

                      ุ
                 โทษอปกรณ์มีลักษณะเป็นข้อหาและค าบังคับในทางแพ่ง แม้กฎหมายได้บัญญัติให้น าเข้ามาเป็นส่วน
                 หนึ่งในคดีอาญาก็ตาม แต่บทบัญญัติว่าด้วยโทษอปกรณ์ไม่ถือเป็นโทษตามกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘
                                                           ุ
                 และมาตรา ๒ ที่ว่า บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระท าการอนกฎหมายที่ใช้ในขณะกระท า
                                                                               ั
                 นั้นบัญญัติเป็นความผิดและก าหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่ผู้กระท าความผิดนั้นต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้

                 ในกฎหมาย  ซึ่งหมายถึงว่าหลักประกันในกฎหมายอาญาครอบคลุมทุกส่วนอันเป็นบทบัญญัติเป็นความผิด
                 และก าหนดโทษทางอาญาไว้เท่านั้น แต่ไม่น่ารวมถึงมาตรการบังคับทางอาญาอน แต่ทั้งนี้เมื่อน ามาปรับใช้
                                                                                  ื่
                 ก็ต้องอาศัยความเกี่ยวข้องกันตามเหตุผลเฉพาะเรื่องเฉพาะราวที่กฎหมายก าหนดไว้ กรณีตามมาตรา ๓๑

                 วรรคสาม ศาลจึงต้องได้ความด้วยว่าจ าเลยยังคงยึดถือหรือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และได้
                                                                                                    ิ
                 ปลูกสร้าง หรือเกี่ยวข้องกับการน าสิ่งใด ๆ อันก่อให้เกิดการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติในที่เกดเหตุ
                 โดยถือว่าการละเมิดสิทธิตามมาตรการบังคับทางอาญาอนนั้นยังคงมีอยู่ตราบที่มิได้ออกไปหรือรื้อถอนสิ่ง
                                                                ื่
                 ปลูกสร้างออกไปจากที่ดิน


                             ี
                            อกทั้งเมื่อวิเคราะห์หลักภาษาและความเป็นมาของกฎหมาย จะเห็นได้ว่า บทบัญญัติว่าด้วย
                                                                    ิ่
                      ุ
                 โทษอปกรณ์ตามมาตรา ๓๑ วรรคสาม ก่อนและหลังแก้ไขเพมเติมโดยพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ
                 (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ มีถ้อยค าตามวิธีการอุปกรณ์ของโทษแตกต่างกัน ดังนี้

                            ตามมาตรา ๓๑ วรรคสาม  แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ บัญญัติว่า

                            “ในกรณีผู้กระท าผิดตามมาตรานี้ยึดถือหรือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
                 ศาลมีอานาจสั่งให้ผู้กระท าผิด คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทนและบริวารของผู้กระท าผิดออกจากเขต

                 ป่าสงวนแห่งชาติได้”



                            ๔๒  ดร. เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์, ค าอธิบายกฎหมายอาญา ภาค ๑ เล่ม ๑, หน้า ๑๓.
                            ๔๓  ศาสตราจารย์ ดร.คณิต ณ นคร, กฎหมายอาญาภาคทั่วไป, หน้า ๗๕.
   800   801   802   803   804   805   806   807   808   809   810