Page 800 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 800

๗๘๘

                                                               ๓๐
                 บัญญัติให้เป็นส่วนหนึ่งของค าพิพากษาในคดีอาญา  ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔
                 มาตรา ๗๒ ตรี วรรคสาม ก็ได้ให้อ านาจศาลสั่งได้ท านองเดียวกัน แต่กฎหมายบัญญัติไว้เฉพาะกรณีให้ศาล
                 มีอานาจสั่งให้ผู้กระท าความผิด คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของผู้กระท าความผิดออกไปจากป่าได้

                       ๓๑
                 เท่านั้น
                            จากลักษณะพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ แม้เป็นพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วย

                                                                         ๓๒
                 ป่าไม้ถือเป็นกฎหมายเฉพาะเรื่องก็ตามหรือเรียกว่ากฎหมายพเศษ  แต่ก็เป็นกฎหมายอาญา จึงมีผลให้
                                                                     ิ
                 ต้องน าบทบัญญัติในภาค ๑ แห่งประมวลกฎหมายอาญามาใช้กับพระราชบัญญัตินี้ด้วยตามที่มาตรา ๑๗
                 บัญญัติไว้ว่า “บทบัญญัติในภาค ๑ แห่งประมวลกฎหมายนี้  ให้ใช้ในกรณีแห่งความผิดตามกฎหมายอน
                                                                                                       ื่
                 ด้วย เว้นแต่กฎหมายนั้น ๆ จะได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอน” ดังนั้น การที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะต้องรับผิด
                                                              ื่
                 ในทางอาญาในการกระท าของตนนั้น จะต้องกระท าครบองค์ประกอบที่ต้องให้รับผิด คือ

                            (๑) มีการกระท า

                            (๒) การกระท านั้นครบองค์ประกอบภายในของการกระท าความผิด


                            (๓) การกระท านั้นครบองค์ประกอบภายนอกที่กฎหมายนั้นบัญญัติเป็นความผิด

                            (๔) ผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระท าความผิดนั้น

                            (๕) การกระท าไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิด


                            (๖) การกระท าไม่มีกฎหมายยกเว้นโทษ

                                                                             ้
                                                                                                ิ
                                             ิ
                            เมื่อกรณีทศาลมีค าพพากษาว่าจ าเลยกระท าความผิดตามฟอง หรือเป็นกรณีที่ค าพพากษาได้
                                     ี่
                 ชี้ขาดว่าบุคคลใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๔ แล้ว ถ้าปรากฏว่าจ าเลยนั้นยังคงยึดถือครอบครองท าประโยชน์หรืออยู่
                                                        ้

                 อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุตามฟอง ศาลมีอานาจที่จะสั่งตามวิธีการอปกรณ์ของโทษตาม
                                                                                       ุ
                 มาตรา ๓๑ วรรคสาม ได้ ซึ่งแบ่งเป็น ๒ ลักษณะ วิธีการประการแรก ให้จ าเลย รวมถึงคนงาน ผู้รับจ้าง
                                                                                  ื่
                 ผู้แทน และบริวารของจ าเลยออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ อันเป็นมาตรการเพอมิให้ผู้กระท าความผิดตาม
                 พระราชบัญญัตินี้ได้มีโอกาสกระท าการใด ๆ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติอีก และประการที่ ๒ ให้จ าเลยรื้อถอน

                 สิ่งปลูกสร้าง หรือน าสิ่งใด ๆ อันก่อให้เกิดการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติออกจากป่าสงวนแห่งชาติ
                 ภายในระยะเวลาที่ก าหนด อันเป็นมาตรการเพอคุ้มครอง ป้องกัน และบ ารุงรักษาไว้ซึ่งทรัพยากรธรรมชาติ
                                                       ื่


                            ๓๐  ดู ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  ภาค ๔ วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาและการบังคับตามค า
                 พิพากษาหรือค าสั่ง หมวด ๔ มาตรา ๓๕๐.
                            ๓๑  ค าพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๓๖ – ๑๕๔๐/๒๕๑๕   ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชนต้นและศาลอุทธรณ์
                                                                                        ั้
                 พิพากษาต้องกันให้ปรับจ าเลย เพียงแต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกค าขอที่สั่งให้จ าเลยออกไปจากป่าที่จ าเลยยึดถือ
                                               ี
                 ครอบครองเสียเท่านั้น ค าขอส่วนนี้เป็นวิธการอุปกรณ์ของโทษ ตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๗๒ ตรี ซึ่ง
                 ศาลมีอ านาจใช้ดุลพินิจสั่งได้ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ข้อนี้ย่อมถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อย.
                            ๓๒  พยงค์ ฉัตรวิรุฬห์, กฎหมายว่าด้วยป่าไม้ (กรุงเทพมหานคร : นิติบรรณการ,  ๒๕๕๐), หน้า ๙.
   795   796   797   798   799   800   801   802   803   804   805