Page 803 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 803
๗๙๑
่
ุ
ิ
๔.วเคราะห์ปัญหาการใช้บังคับบทบัญญัติวาด้วยโทษอปกรณ์ตามมาตรา ๓๑ วรรคสาม กรณีศาล
่
พิพากษายกฟ้องโจทก์ เพราะจ าเลยขาดเจตนากระท าความผิด แต่ปรากฏวาจ าเลยยังยึดถือหรือ
ครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติตามฟ้อง
แม้เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ คือ ป่าไม้เป็น
ทรัพยากรธรรมชาติที่ส าคัญยิ่งของชาติ และรัฐบาลได้ก าหนดจุดหมายไว้ในแผนพฒนาการเศรษฐกิจ
ั
แห่งชาติว่าจะสงวนป่าไม้ไว้เป็นเนื้อที่ประมาณร้อยละ ๕๐ แห่งเนื้อที่ประเทศไทย คือ เป็นเนื้อที่ป่าสงวน
รวมประมาณ ๒๕๐,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร หรือ ๑๕๖ ล้านไร่ แต่ปรากฏข้อมูลของส านักจัดการที่ดินป่าไม้
กรมป่าไม้ จัดท าข้อมูลสถิติพนที่ป่าของประเทศไทย ณ ปี พ.ศ. ๒ ๕ ๖ ๒ พบว่ามีเนื้อที่ป่า
ื้
๑๐๒,๔๘๔,๐๗๒.๗๑ ไร่ หรือประมาณร้อยละ ๓๑.๖๘ แห่งเนื้อที่ประเทศไทย เป้าหมายการสงวนป่าไม้
๓๙
ไว้ดังกล่าวตามแผนพฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติจึงอยู่ในความเสี่ยง ความห่วงกังวลของรัฐเกี่ยวกับปัญหา
ั
สิ่งแวดล้อมได้ให้ความส าคัญทั้งในมิติที่เป็นปัญหาระดับระหว่างประเทศและภายในประเทศเอง ในระดับ
ระหว่างประเทศนั้น รัฐให้ความส าคัญต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมในระดับสากลมาอย่างต่อเนื่องในหลายการ
ิ
ประชุมความตกลงระหว่างประเทศด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น พธีสารมอนทรีออลเพอการลดและเลิกการ
ื่
ใช้สารท าลายชั้นโอโซน (The Montreal Protocol on Substances that Deplete the Ozone Layer)
ซึ่งประเทศไทยได้ให้สัตยาบันเข้าร่วมเป็นภาคีเมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๓๒ หรือกรอบอนุสัญญา
สหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on
Climate Change – UNFCCC) ซึ่งประเทศไทยได้ให้สัตยาบันเข้าร่วมเป็นภาคีเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม
๔๐
๒๕๓๗ ฯลฯ ส่วนระดับภายในประเทศนั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้ก าหนดหลักการ
เกี่ยวกับการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมไว้ในรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี ๒๕๑๗ และได้ให้ความส าคัญจนถึงขั้นที่
ก าหนดให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการคุ้มครองและปกป้องสิ่งแวดล้อมโดยตรงตั้งแต่รัฐธรรมนูญ
ปี ๒๕๔๐ และน าประเด็นสิ่งแวดล้อมมาบัญญัติเรื่อยมา
ุ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๕๗ (๒) บัญญัติว่า “รัฐต้อง
ื้
ู
อนุรักษ์ คุ้มครอง บ ารุงรักษา ฟนฟ บริหารจัดการ และใช้หรือจัดให้มีการใช้ประโยชน์จาก
ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ ให้เกิดประโยชน์อย่างสมดุลและยั่งยืน
โดยต้องให้ประชาชนและชุมชนในท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมด าเนินการและได้รับประโยชน์จากการ
ด าเนินการดังกล่าวด้วยตามที่กฎหมายบัญญัติ”
เห็นได้ว่าบทบัญญัติดังกล่าวมิได้มีลักษณะให้รัฐมีหน้าที่อนุรักษ์ คุ้มครอง บ ารุงรักษา ฟนฟ ู
ื้
ี
บริหารจัดการแต่เพยงประการเดียว แต่ได้บัญญัติถึงสิทธิของประชาชนหรือชุมชนในท้องถิ่นมีส่วนร่วม
ในกระบวนการปกป้องและบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมด้วย และเพอให้เกิดการก าหนดและขับเคลื่อน
ื่
๓๙ กรมป่าไม้, “หนังสือข้อมูลสถิติกรมป่าไม้ ปี ๒๕๖๒,” ๒๕๖๒
๔๐ เข้าถึงได้จาก : https://treaties.mfa.go.th/กฎหมายระหว่างประเทศ/กฎหมายสิ่งแวดล้อม (วันทค้น
ี่
ข้อมูล : ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๔).