Page 806 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 806
๗๙๔
ตามมาตรา ๓๑ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ซึ่งแก้ไขเพมเติม
ิ่
โดยพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติว่า
“ในกรณีที่มีค าพพากษาชี้ขาดว่าบุคคลใดกระท าความผิดมาตรานี้ ถ้าปรากฏว่าบุคคลนั้นได้
ิ
ยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ศาลมีอ านาจสั่งให้ผู้กระท าผิด คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และ
บริวารของผู้กระท าผิดออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติได้ด้วย”
จะเห็นได้ว่าตามมาตรา ๓๑ วรรคสาม แห่งกฎหมายฉบับแรก ผู้ร่างกฎหมายบัญญัติถ้อยค า
ขึ้นต้นวรรคว่า “ในกรณีผู้กระท าผิดตามมาตรานี้” อนเป็นถ้อยค าที่ไม่แตกต่างไปจากถ้อยค าตัวบทตาม
ั
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒ แนวโน้มของการแปลความกฎหมายย่อมไปในลักษณะว่า ไม่มีความผิด
ไม่มีโทษได้ แต่ต่อมา มาตรา ๓๑ วรรคสาม ที่ถูกแก้ไขเพมเติมโดยพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒)
ิ่
พ.ศ. ๒๕๒๒ ผู้ร่างกฎหมายใช้ถ้อยค ากว้างขึ้นโดยระบุขึ้นต้นวรรคว่า “ในกรณีที่มีค าพพากษาชี้ขาดว่าบุคคล
ิ
ิ
ใดกระท าความผิดมาตรานี้” เมื่อกล่าวถึงค าพพากษาว่าต้องมีค าว่า “ชี้ขาด” นั้น มีบัญญัติอยู่ในประมวล
ิ
กฎหมายวิธีพจารณาความอาญา มาตรา ๑๘๖ ว่า “ค าพพากษาหรือค าสั่งต้องมีข้อส าคัญเหล่านี้เป็นอย่าง
ิ
ิ
้
น้อย...(๕) ข้อเท็จจริงซึ่งพจารณาได้ความ ... (๘) ค าชี้ขาดให้ยกฟองหรือลงโทษ...” จึงมีข้อสังเกตว่า ศาล
้
ิ
อาจมีค าพพากษาโดยมีข้อส าคัญตามอนุมาตรา (๘) โดยชี้ขาดให้ยกฟองก็ได้หรือชี้ขาดให้ลงโทษก็ได้อย่าง
้
ใดอย่างหนึ่ง แต่ศาลจะมีค าชี้ขาดดังกล่าวได้นั้นก็ต้องมีขอเท็จจริงซึ่งพิจารณาได้ความมาก่อน หากศาลเห็น
ิ
้
ว่าข้อเท็จจริงบางข้อในฟองและตามที่ปรากฏในทางพจารณาไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ศาล
ก็ไม่มีอานาจลงโทษจ าเลยในข้อเท็จจริงนั้น ๆ ได้ ส าหรับกรณีศึกษานี้ จริงอยู่ที่มีหลักทั่วไปใน
๔๔
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๙ วรรคสามที่ว่า “ไม่รู้ไม่มีเจตนา” แต่ก็น าไปปรับใช้แก่การกระท า
ทั้งหลายที่อางว่าจ าเลยได้กระท าความผิดอนมีข้อเท็จจริงและรายละเอยดที่เกี่ยวกับเวลาเกิดเหตุตามฟอง
้
ั
้
ี
ั
เท่านั้น นอกนี้แม้จ าเลยรู้ข้อเท็จจริงอนเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิดหลังฟองแล้ว ก็ห้ามมิให้
้
ั
ศาลลงโทษจ าเลยในข้อเท็จจริงดังกล่าว เมื่อการตีความกฎหมายอนมีถ้อยค าที่กว้างขึ้นจากกฎหมายเดิม
ตามมาตรา ๓๑ วรรคสาม มิได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาความรับผิดทางอาญาโดยแท้ แม้ความรับผิดทางอาญา
เองก็ยังต้องตีความไปตามตัวอกษรแต่ต้องประกอบกับเจตนารมณ์ของกฎหมายด้วยการขยายความ
ั
กฎหมายตามความมุ่งหมายของตัวบทกฎหมายเพอให้เกิดสภาพมาตรการบังคับแก่ผู้ฝ่าฝืนยึดถือหรือ
ื่
ครอบครองป่าสงวนแห่งชาติครอบคลุมทุกกรณีย่อมน่าจะตีความเช่นนั้นได้โดยไม่ขัดกับหลักประกัน
ในกฎหมายอาญาที่กล่าวมาข้างต้น ผู้เขียนจึงเห็นว่าตามกรณีศาลยกฟองโจทก์เพราะจ าเลยขาดเจตนา
้
ิ
กระท าความผิดตามฟอง เมื่อทางพจารณาได้ความว่าตราบใดที่จ าเลยไม่ยอมออกไปหรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง
้
ออกไปจ าเลยก็ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้กระท าความผิดตามมาตรานี้ได้ จึงเป็นกรณีที่ค าพพากษามีค าชี้ขาดว่าบุคคลใด
ิ
ิ
ิ
ี
กระท าความผิดตามมาตรา ๓๑ เพยงแต่มิได้ถูกพพากษาให้ลงโทษ จากการศึกษายังไม่มีแนวค าพพากษา
๔๔ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรคสี่ บัญญัติว่า “ถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริง
บางข้อดังกล่าวในฟ้อง และตามที่ปรากฏในทางพิจารณาไม่ใชเป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ห้ามมิให้ศาลลงโทษ
่
จ าเลยในข้อเท็จจริงนั้น ๆ”