Page 802 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 802
๗๙๐
ั
นอกจากนี้ กรณีให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง หรือน าสิ่งใด ๆ อนก่อให้เกิดการเสื่อมเสียแก่สภาพ
ั
ป่าสงวนแห่งชาติออกจากป่าสงวนแห่งชาติภายในระยะเวลาที่ก าหนด อนเป็นวิธีการหรือหลักการที่
ิ่
กฎหมายบัญญัติเพมเติมขึ้นตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ การที่ศาล
ื่
จะต้องก าหนดระยะเวลาในค าพพากษาเพอให้ผู้กระท าความผิดกระท าการดังกล่าวนั้น ผู้เขียนมีความเห็น
ิ
ุ
ว่าน่าจะแยกออกจากกันจากหลักการของกฎหมายในส่วนของโทษอปกรณ์กรณีให้ผู้กระท าความผิด
ั
คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของผู้กระท าความผิดออกจากป่าสงวนแห่งชาติ อนเป็นหลักการที่คงมี
อยู่เดิมโดยไม่มีผลกระทบ เปรียบเทียบได้กับกรณีของพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๗๒ ตรี
วรรคสาม และประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๑๐๘ ทวิ วรรคสี่ ซึ่งมีบทบัญญัติว่าด้วยโทษอปกรณ์ใน
ุ
ลักษณะเดียวกันคือให้ผู้กระท าความผิด คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของผู้กระท าความผิดออกจาก
ิ
ื่
ป่าหรือที่ดินนั้น โดยกฎหมายมิได้บัญญัติให้ศาลต้องก าหนดระยะเวลาไว้ในค าพพากษาเพอให้กระท าตาม
วิธีการดังกล่าว มีผลท าให้เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วจ าเลยซึ่งเป็นผู้กระท าความผิดจึงต้องออกไปจากป่าสงวน
แห่งชาติที่ยึดถือครอบครองตามค าสั่งศาลดังกล่าวทันที เมื่อกฎหมายมีเจตนารมณเหมือนกันจึงต้องตีความ
์
กฎหมายให้เป็นทิศทางเดียวกันตามความสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบของกฎหมาย
๓๘
ิ
ค าพพากษาศาลฎีกาที่ ๘ ๙ ๑ ๘ / ๒๕๕๕ ศาลชั้นต้นพพากษาลงโทษจ าเลยตาม
๑
ิ
พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ และมีค าสั่งให้จ าเลยพร้อมบริวารออกไปจากป่าสงวน
แห่งชาติที่ยึดถือครอบครองตามมาตรา ๓๑ วรรคสาม คดีถึงที่สุดแล้ว จ าเลยซึ่งเป็นผู้กระท าความผิดจึง
ต้องออกไปจากป่าสงวนแห่งชาติที่ยึดถือครอบครองตามค าสั่งศาลดังกล่าวทันที การยึดถือครอบครอง
ป่าสงวนแห่งชาติต่อมาภายหลังจากคดีถึงที่สุดแล้วยังคงเป็นการยึดถือครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
้
ตลอดเวลาที่จ าเลยยังไม่ออกไปจากป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าว โดยจ าเลยไม่อาจอางอายุความใด ๆ ที่จะมี
สิทธิยึดถือครอบครองป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าวต่อรัฐได้ ดังนั้น โจทก์ชอบที่จะบังคับจ าเลยให้ออกจาก
ป่าสงวนแห่งชาติได้ตลอดเวลาที่จ าเลยยังยึดถือครอบครองป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าว หาจ าต้องบังคับคดี
ภายใน ๑๐ ปี ดังเช่นคดีแพ่งทั่วไปไม่
จากค าพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว แม้เป็นการตัดสินโดยใช้บังคับกฎหมายตามพระราชบัญญัติ
ป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ก็ตาม แต่ก็เป็นการยืนยันข้อกฎหมายว่า การยึดถือครอบครอง
ป่าสงวนแห่งชาติต่อมาภายหลังจากคดีถึงที่สุดแล้วถือเป็นการยึดถือครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ตลอดเวลาที่จ าเลยยังไม่ออกไปจากป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าว ซึ่งโดยสภาพของการบังคับให้ปฏิบัติตามผล
ค าพพากษานั้น กรณีให้ขับไล่ออกจากที่ดินน่าจะมีวิธีการแยกออกได้จากกรณีจ าเลยต้องรื้อถอนสิ่งปลูก
ิ
ี
สร้างออกไปจากที่ดินภายในก าหนดระยะเวลาก าหนด เพยงแต่หากจ าเลยประสงค์จะรื้อถอนเอง ก็อาจยัง
ื่
เกี่ยวข้องกับที่ดินได้ตามสภาพโดยอาศัยสิทธิที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เพอการดังกล่าวภายใน
กรอบระยะเวลาที่ศาลก าหนดเท่านั้น
๓๘ ศาสตราจารย์ ดร.คณิต ณ นคร, กฎหมายอาญาภาคทั่วไป, หน้า ๗๗.