Page 798 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 798

๗๘๖

                            (๒) ไม้อ่นที่เป็นต้นหรือเป็นท่อนอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างรวมกันเกินยี่สิบ
                                   ื
                 ต้นหรือท่อน หรือรวมปริมาตรไม้เกินสี่ลูกบาศก์เมตร หรือ
                            (๓) ต้นน้ าล าธาร

                            (๔) พื้นที่ชายฝั่ง

                            ผู้กระท าความผิดต้องระวางโทษจ าคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึง
                 สองล้านบาท

                            ในกรณีที่มีค าพิพากษาชี้ขาดว่าบุคคลใดกระท าความผิดตามมาตรานี้ ถ้าปรากฏว่า

                 บุคคลนั้นยึดถือหรือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ศาลมีอานาจสั่งให้ผู้กระท าความผิด

                 คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของผู้กระท าความผิดออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตลอดจนสั่ง

                 ให้ผู้กระท าความผิดรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง หรือน าสิ่งใด ๆ อนก่อให้เกิดการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวน
                                                                   ั
                 แห่งชาติออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติภายในระยะเวลาที่ก าหนด”

                            มาตรานี้เดิมถูกตราไว้ในกฎหมายนับแต่มีการประกาศบังคับใช้พระราชบัญญัติป่าสงวน

                                    ๒๔
                 แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗  ซึ่งออกมายกเลิกพระราชบัญญัติคุ้มครองและสงวนป่า พ.ศ. ๒๔๘๑ เนื่องจาก
                 กฎหมายดังกล่าวมีวิธีการไม่รัดกุมเหมาะสม ต้องเสียเวลาด าเนินการเป็นเวลานาน จึงจะประกาศก าหนด

                 เป็นป่าสงวนหรือป่าคุ้มครองได้ เป็นเหตุให้บุคคลบางจ าพวกฉวยโอกาสท าลายป่าไม้ได้กว้างขวางยิ่งขึ้น
                 และต่อมาได้แก้ไขเพมเติมมาตรา ๓๑ วรรคสาม รวม ๒ ครั้ง ครั้งแรกแก้ไขโดยพระราชบัญญัติป่าสงวน
                                  ิ่
                 แห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒  มาตรา ๓ และครั้งที่สองโดยพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ ๔)
                                           ๒๕
                           ๒๖
                 พ.ศ. ๒๕๕๙  มาตรา ๑๓  ดังนี้
                            ตามมาตรา ๓๑ วรรคสาม (เดิม) แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ บัญญัติว่า

                            “ในกรณีผู้กระท าผิดตามมาตรานี้ ยึดถือหรือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ


                 ศาลมีอานาจสั่งให้ผู้กระท าผิด คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทนและบริวารของผู้กระท าผิดออกจากเขตป่า
                 สงวนแห่งชาติได้”

                                                                                                      ้
                            ตามมาตรา ๓๑ วรรคสาม (เดิม) แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ซึ่งแกไข
                 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติว่า


                                          ิ
                            “ในกรณีที่มีค าพพากษาชี้ขาดว่าบุคคลใดกระท าความผิดมาตรานี้ ถ้าปรากฏว่าบุคคลนั้นได้
                 ยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ศาลมีอ านาจสั่งให้ผู้กระท าผิด คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และ

                 บริวารของผู้กระท าผิดออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติได้ด้วย”

                                                                                               ิ่
                            เมื่อมีการบังคับใช้พระราชบัญญัติดังกล่าวมาระยะหนึ่งจึงได้มีการแก้ไขเพมเติมโดย
                 พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ ซึ่งยังคงใช้อยู่ถึงปัจจุบัน แต่จากการศึกษาพบว่า




                            ๒๔  ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๘๑ ตอนที่ ๓๘  ๒๘ เมษายน ๒๕๐๗.
                            ๒๕  ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๖ ตอนที่ ๖๔ ฉบับพิเศษ ๒๘ เมษายน ๒๕๒๒.
                            ๒๖  ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๓ ตอนที่ ๔๖ ก ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๙.
   793   794   795   796   797   798   799   800   801   802   803