Page 801 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 801
๗๘๙
ึ
อย่างเป็นระบบ ซึ่งวิธีการที่ให้จ าเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากป่าสงวนแห่งชาตินั้น ศาลพงก าหนด
ระยะเวลาเพื่อให้จ าเลยต้องปฏิบัติอย่างชัดเจนว่าต้องด าเนินการให้แล้วเสร็จภายในกี่วันอันกฎหมายให้เป็น
ิ
ดุลพนิจของศาลโดยมิได้ก าหนดเงื่อนระยะเวลาเอาไว้ ศาลจึงอาจจ าต้องพจารณาจากความร้ายแรงของ
ิ
ึ
สภาพความผิดที่เกิดต่อสิ่งแวดล้อมและระยะเวลาตามปกติในการที่จ าเลยพงจะปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม
ุ
ในประเด็นนี้ศาลอทธรณ์ภาค ๖ เคยมีค าวินิจฉัยว่า การก าหนดระยะเวลาตามมาตรา ๓๑ วรรคสาม นั้น
จะต้องก าหนดให้ชัดแจ้งในค าพพากษาเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าศาลจะมีค าสั่งเป็นต่างหากไม่ได้หรือไม่
๓๓
ิ
น่าจะระบุรวมอยู่ในค าบังคับได้
ข้อสังเกต ศาลฎีกาได้วางแนวค าพพากษาเกี่ยวกับบทบัญญัติว่าด้วยโทษอุปกรณ์ตามมาตรา ๓๑
ิ
้
วรรคสาม ทั้งก่อนและหลังมีการแกไขโดยพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ ไว้เป็น
แนวทางชัดเจนไว้แล้วหลายประการ ได้แก่ ถ้าข้อเท็จจริงปรากฏว่าจ าเลยได้ยึดถือหรือครอบครองที่ดินใน
ุ
เขตป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุ ศาลย่อมมีอานาจสั่งวิธีการของโทษอปกรณ์ได้โดยโจทก์หาจ าต้องมีค าขอใน
ข้อดังกล่าวมาด้วย เพราะถือเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย บทบัญญัติตามมาตรา ๓๑
๓๔
ื
วรรคสาม เป็นมาตรการที่กฎหมายก าหนดขึ้นเพ่อบังคับให้ผู้กระท าความผิดฐานบุกรุกยึดถือ
ครอบครอง ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า หรือกระท าด้วยประการใดๆ อนเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวน
ั
แห่งชาติต้องออกไปจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ เมื่อต้องค าพิพากษาว่ากระท าความผิด อนท าให้รัฐ
ั
ได้รับคืนพนที่ป่าสงวนแห่งชาติ การที่ผู้ใดผู้หนึ่งจะมีอานาจยื่นค าร้องเพอแสดงอานาจพเศษได้นั้น ต้อง
ื่
ื้
ิ
ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ร้องได้รับอนุญาตเข้าท าประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติได้ตาม
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมป่าไม้ก าหนด ตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๐๗ หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายอนบัญญัติให้สิทธิแก่ผู้นั้นในการเข้าท าประโยชน์หรืออยู่อาศัย
ื่
ิ
ิ
ในเขตป่าสงวนแห่งชาติได้จะมายื่นค าร้องขอแสดงอานาจพเศษตามประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความแพ่ง
์
๓๕
มาตรา ๓๕๓ มิได้ และค าขอของโจทกที่ขอให้จ าเลย คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจ าเลยออก
ิ
ุ
จากเขตป่าสงวนแห่งชาติและเขตป่าถือได้ว่าเป็นค าขออปกรณ์ซึ่งเป็นคดีความอาญา ซึ่งวิธีพจารณาคดี
ิ
จะต้องบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความอาญา การขอเข้าร่วมเป็นคู่ความในคดีอาญานั้นไม่
อาจอาศัยอานาจตามประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความแพง มาตรา ๕๗ ประกอบประมวลกฎหมายวิธี
่
ิ
พจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ มาอนุโลมบังคับใช้ได้ กรณีมีค าพพากษาของศาลล่างทั้งสองที่สั่งให้
๓๖
ิ
ิ
ุ
จ าเลยและบริวารออกไปจากป่า ถือว่ามิใช่โทษที่ลงแก่จ าเลยแต่เป็นการสั่งไปตามวิธีการอปกรณ์ ไม่ท าให้
คู่ความมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ๓๗
๓๓ ค าพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๖ หมายเลขแดงที่ ๖๔๐/๒๕๖๓ (ประชุมใหญ่)
๓๔ ค าพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๙๘๔/๒๕๕๗
๓๕ ค าพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๕๔๑/๒๕๖๒
๓๖ ค าพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๖๓๒/๒๕๖๒
๓๗ ค าพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๓๘๙/๒๕๓๑