Page 815 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 815
๘๐๓
ที่ ๕ และที่ ๘ ถึงที่ ๑๐ อยู่ในป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุโดยไม่มีเหตุจะอ้างโดยชอบด้วยกฎหมายย่อมมีผล
ื่
ต่อการรักษาสภาพป่าไม้หรือทรัพยากรธรรมชาติอนในป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุ ที่ศาลล่างทั้งสอง
ิ
พพากษาให้ออกไปจากป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุจึงชอบด้วยเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติป่าสงวน
แห่งชาติฯ และพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ แล้ว มิฉะนั้น ผู้ที่ศาลมิได้พพากษาลงโทษว่ากระท าความผิดเพราะ
ิ
ั
ขาดเจตนากระท าความผิดก็จะสามารถอยู่ในป่าสงวนแห่งชาติหรือป่าได้ทั้งที่ไม่มีเหตุอนชอบด้วยกฎหมาย
ิ
ที่จะอยู่ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพพากษาให้จ าเลยที่ ๑ ที่ ๔ ที่ ๕ และที่ ๘ ถึงที่ ๑๐ พร้อมบริวารออกจาก
ป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน.
ิ
้
หมายเหตุ จากเหตุผลของค าพพากษาศาลฎีกาทั้งสองเป็นกรณีที่ศาลยกฟองโจทก์เพราะ
จ าเลยแต่ละคดีขาดเจตนากระท าความผิด แต่เหตุผลแห่งค าวินิจฉัยปรากฏข้อเท็จจริงซึ่งพจารณาได้ความ
ิ
้
ว่า จ าเลยซึ่งถูกฟองนั้นอาศัยอยู่ในที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุมานับตั้งแต่ระยะเวลาที่เกิดเหตุ
้
และคงมีข้อเท็จจริงดังกล่าวในลักษณะว่าหลังฟองแล้วจ าเลยแต่ละคดีก็คงอยู่อาศัยมาตลอดโดยไม่มีสิทธิ
โดยชอบด้วยกฎหมายจนกระทั่งส านวนคดีความได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมาสู่ศาลสูงสุด
๔.๓ วเคราะห์เปรียบเทียบผลการปรับใช้บทบัญญัติวาด้วยโทษอปกรณ์ตามมาตรา ๓๑
ุ
ิ
่
วรรคสาม ตามค าพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองแนวทางความเห็น
เมื่อพจารณาหลักกฎหมายที่ว่ามาตรการหรือโทษอปกรณ์มิได้ถือเป็นโทษ และหลักการใน
ุ
ิ
ิ
การปรับใช้บทบัญญัติดังกล่าวมาข้างต้นประกอบกันแล้ว ผู้เขียนเห็นว่าค าพพากษาศาลฎีกาตามแนวทาง
ิ
ความเห็นแรกคือค าพพากษาศาลฎีกาที่ ๑๗๘๙/๒๕๓๖ ศาลให้เหตุผลประการส าคัญว่า ตามมาตรา ๓๑
วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ เป็นค าขอในวิธีการอปกรณ์ของโทษ เมื่อศาล
ุ
ิ
มิได้พพากษาว่า จ าเลยที่ ๑ กระท าความผิดตามบทมาตราดังกล่าว จึงไม่มีอานาจสั่งตามที่โจทก์ขอได้
แต่ในคดีดังกล่าวศาลก็ฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่าจ าเลยที่ ๑ ยังยึดถือครอบครอง แผ้วถาง และท าไม้ในที่ดินที่
้
เกิดเหตุ เท่ากับในส่วนนี้ศาลก็ได้ชี้ขาดเชื่อมโยงจากวันเกิดเหตุหลังฟองไปแล้วว่าจ าเลยที่ ๑ กระท าการ
ฝ่าฝืนโดยไม่ได้รับอนุญาตอนอาจเป็นความผิดตามมาตรานี้ แต่ไม่อาจจะลงโทษจ าเลยที่ ๑ เป็นคดีนี้ได้
ั
เพราะรับฟงเป็นยุติแล้วว่าในช่วงวันเวลาเกิดเหตุตามฟองจ าเลยที่ ๑ อยู่ในที่ดินโดยขาดเจตนากระท า
้
ั
ความผิดเท่านั้น ทั้งบทบัญญัติว่าด้วยโทษอปกรณ์ดังกล่าวเป็นสภาพแห่งข้อหาและค าบังคับในทางแพงที่
ุ
่
้
ั
เป็นมาตรการเพมเติมขึ้นอนถือเป็นมาตรการบังคับทางอาญาอน มิใช่โทษทางอาญา แม้ศาลยกฟองโจทก์
ิ่
ื่
ท าให้จ าเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับโทษทางโทษอาญา แต่ตราบใดที่จ าเลยที่ ๑ ยึดถือหรือครอบครองที่ดินในเขต
ป่าสงวนแห่งชาติ ย่อมขึ้นชื่อว่าได้กระท าละเมิดต่อรัฐ มีผลท าให้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมได้รับ
ิ
ความคุ้มครอง บ ารุงรักษา ฟื้นฟู หรือบริหารจัดการจากรัฐรวมถึงประชาชนและชุมชนในท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง
มีส่วนร่วมด าเนินการและได้รับประโยชน์ ทั้งเมื่อค านึงถึงเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติที่
ื่
บัญญัติขึ้นเพอจะสงวนป่าไม้ไว้ และป้องกันมิให้บุคคลบางจ าพวกฉวยโอกาสท าลายป่าได้กว้างขวางยิ่งขึ้น
มาตั้งแต่กฎหมายฉบับแรกแล้ว ด้วยความเคารพต่อค าพพากษา การแปลความกฎหมายอย่างเคร่งครัดของ
ิ