Page 816 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 816
๘๐๔
ุ
ศาลจึงมีผลเป็นการยกค าขอของโจทก์ในส่วนบทบัญญัติว่าด้วยโทษอปกรณ์ ซึ่งท าให้ผลแห่งคดีดังกล่าวยัง
ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายป่าสงวนแห่งชาติและหลักความคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
ส าหรับค าพิพากษาศาลฎีกาตามแนวทางความเห็นที่สองคือค าพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๘๒๖๒/๒๕๕๗
และ ๒๕๖๐ - ๒๕๖๘/๒๕๖๑ ศาลได้วินิจฉัยถึงข้อเท็จจริงว่า จ าเลยแต่ละคดียังยึดถือหรือครอบครอง
ป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุ และได้วินิจฉัยต่อไปว่า ถึงอย่างไรแล้ว แม้ศาลจะมิได้พิพากษาลงโทษจ าเลยนั้น
ุ
แต่ก็มีอานาจสั่งให้จ าเลยนั้นกระท าการตามวิธีการของโทษอปกรณ์ตามค าขอของโจทก์ได้ โดยคดีแรกให้
เหตุผลว่า ศาลก็ยังคงมีอานาจบังคับจ าเลยทั้งสองออกไปจากที่ดินที่เกิดเหตุได้โดยผลของมาตรา ๓๑ วรรคสาม
และในคดีหลังศาลให้เหตุผลชัดแจ้งว่า การที่จ าเลยที่ ๑ ที่ ๔ ที่ ๕ และที่ ๘ ถึงที่ ๑๐ อยู่ในป่าสงวน
แห่งชาติที่เกิดเหตุโดยไม่มีเหตุที่จะอางโดยชอบด้วยกฎหมายย่อมมีผลต่อการรักษาสภาพป่าไม้ของป่าหรือ
้
ทรัพยากรธรรมชาติอื่นในป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุ การพิพากษาให้ออกไปจากป่าสงวนแห่งชาติที่เกดเหตุ
ิ
ิ
จึงชอบด้วยเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติฯ มิฉะนั้น ผู้ที่ศาลมิได้พพากษาลงโทษว่า
กระท าความผิดเพราะขาดเจตนากระท าความผิดก็จะสามารถอยู่ในป่าสงวนแห่งชาติหรือป่าได้ทั้งที่ไม่มีเหตุ
ั
ุ
ี
อนชอบด้วยกฎหมายที่จะอยู่ได้ ผู้เขียนเห็นว่า เมื่อบทบัญญัติว่าด้วยโทษอปกรณ์เป็นเพยงมาตรการบังคับ
ทางอาญาอน มิใช่โทษตามประมวลกฎหมายอาญา แต่ถือเป็นสภาพแห่งข้อหาและค าบังคับในทางแพง
ื่
่
ประการหนึ่งที่ถูกน ามาเป็นส่วนหนึ่งในคดีอาญาเท่านั้น และน่าจะสามารถน ามาปรับใช้แก่คดีได้แม้ศาลจะ
้
้
พพากษายกฟองโจทก์ ซึ่งในที่นี้หมายถึงยกฟองในส่วนของโทษตามประมวลกฎหมายอาญา แต่เมื่อ
ิ
ข้อเท็จจริงได้ความหรือศาลชี้ขาดเชื่อมโยงไปถึงการกระท าของจ าเลยนั้นที่ยังยึดถือหรือครอบครองที่ดินใน
เขตป่าสงวนแห่งชาติตามฟอง ก็น่าแปลความขยายโดยถือว่าเป็นกรณีจ าเลยดังกล่าวกระท าการฝ่าฝืนต่อ
้
ื่
์
กฎหมายตามมาตรานี้ แต่ไม่อาจลงโทษเป็นคดีนี้ เพอให้เป็นไปตามเจตนารมณของกฎหมายในทุกกรณีที่มี
ผู้บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ นอกจากนี้ เหตุผลแห่งค าวินิจฉัยของศาลยังได้กล่าวถึงเจตนารมณ์ของกฎหมาย
ป่าสงวนแห่งชาติว่าหากไม่สั่งให้ออกไปการกระท าของจ าเลยดังกล่าวย่อมมีผลต่อการรักษาสภาพป่าไม้ของ
ื่
ป่าหรือทรัพยากรธรรมชาติอนในป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุ สอดคล้องกับหลักความคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
ี
และยังมีผลท าให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไม่ต้องเสียเวลาด าเนินการเป็นเวลานานอกต่อไป ซึ่งการ
ด าเนินการบังคับคดีตามค าพพากษาในคดีอาญานั้น นอกจากประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความ
ิ
ิ
อาญา มาตรา ๒๔๙ บัญญัติไว้แล้วยังอาจด าเนินการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความแพ่ง
ิ
๕๐
ิ
ี
ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ ได้อกทางหนึ่ง ผู้เขียนจึงเห็นด้วยกับ
ิ
ค าพพากษาศาลฎีกาแนวทางความเห็นที่สอง เพราะเมื่อน าไปปรับใช้แก่คดีแล้วย่อมท าให้กฎหมายเกิด
ประสิทธิภาพสูงสุดและมีความเหมาะสมแก่สภาพกาลปัจจุบัน แต่มีข้อน่าสังเกตว่าศาลฎีกาตามแนวทาง
ความเห็นที่สองก็มิได้ให้เหตุผลแห่งค าวินิจฉัยในส่วนที่ว่าบทบัญญัติว่าด้วยโทษอปกรณ์มิได้เป็นโทษตาม
ุ
ิ่
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘ และมาตรา ๒ ซึ่งผู้เขียนขออนุญาตเพมเติมเหตุผลประการนี้เข้าไป
๕๐ ค าพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๐๕๓/๒๕๓๒

