Page 992 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 992

๙๘๐


                                        ิ
                 ซึ่งจะขอกล่าวถึงเฉพาะค าพพากษาของศาลแขวงนครศรีธรรมราช เพื่อน าผลไปด าเนินการ และสรุปพร้อม
                                                                                 ื่
                 ข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ปัญหาการใช้ดุลพนิจในการรอการก าหนดโทษเพอให้ผู้พพากษาใช้ดุลพนิจใน
                                                       ิ
                                                                                       ิ
                                                                                                   ิ
                 การรอการก าหนดโทษได้เหมาะสมยิ่งขึ้น

                 แนวความคิดของการลงโทษผู้กระท าความผิด
                          แนวคิดในเรื่องการลงโทษผู้กระท าความผิดได้ปรากฏมาช้านานแล้วและมีวัฒนาการในเรื่อง

                 วัตถุประสงค์ของการลงโทษเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันที่ศาลในทุกประเทศทั่วโลกต่างยอมรับหลักเรื่อง

                 Individualization เข้ามาใช้ในการก าหนดโทษผู้กระท าความผิดปรัชญาพนฐานเกี่ยวกับการลงโทษได้
                                                                                ื้
                 ปรากฎหลักฐานชัดครั้งแรกในยุโรประหว่างคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖-๑๘ ที่ศาสนาได้เข้ามามีบทบาทในการ

                 พิจารณาพิพากษาความผิดของบุคคลจนเข้าสู่ยุคกอนมีส านักทางอาชญาวิทยา (School of Criminology)
                                                          ่
                 ระบบกฎหมายขณะนั้นมีลักษณะคลุมเครือ ไม่ชัดเจน และมีช่องว่างมากเปิดโอกาสให้ตุลาการสามารถใช้

                     ิ
                                                                     ิ

                 ดุลพนิจตีความได้ตามอาเภอใจ ท าให้เกิดอคติในการพจารณาพพากษาคดีขาดหลักเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐาน
                                                              ิ
                 เดียวกัน มีการทรมานเพื่อให้รับสารภาพด้วยวิธีต่าง ๆ
                                                             ๘
                         เมื่อเกิดส านักความคิดทางอาชญาที่เรียกว่าส านัก Classical School ขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่
                                                              ิ
                 ๑๘ ซึ่งน าโดย Cesare Becaria ที่พยายามต่อต้านวิธีพจารณาพพากษาคดีที่กระท าโดยปราศจากขอบเขต
                                                                      ิ
                                                                                               ื่
                 ของตุลาการ และวิธีการทรมานที่โหดร้ายทารุณโดยเสนอปรับปรุงกฎหมายให้มีหลักเกณฑ์เพอหลีกเลี่ยง
                 การตีความตามอาเภอใจ และในทัศนะของส านักความคิดนี้เห็นว่ากฎหมายจะต้องได้รับการบังคับใช้

                 ส าหรับประชาชนโดยเสมอภาค ในการบังคับใช้กฎหมายประเด็นส าคัญที่ต้องพจารณาในชั้นศาล คือการ
                                                                                   ิ
                 พจารณาว่าจ าเลยกระท าผิดจริงหรือไม่ ถ้าบุคคลได้กระท าผิดจริงก็จะต้องได้รับโทษตามกฎหมาย โดยไม่
                  ิ
                                                                             ี
                                                              ิ
                 จ ากัดเพศ วัย สติปัญญา และสถานภาพทางสังคม ผู้พพากษาควรเป็นเพยงกลไกของกฎหมายที่ท าหน้าที่

                  ิ
                 พจารณาว่าบุคคลนั้นกระท าผิดจริงหรือไม่ เท่านั้น ไม่ควรมีอานาจในการตีความกฎหมายและในการ
                 ลดหย่อนผ่อนโทษ ทั้งนี้เพราะอานาจในการบัญญัติกฎหมายและบทก าหนดโทษเป็นของฝ่ายนิติบัญญัติ

                 กฎหมายที่พงประสงค์จึงควรมีลักษณะเด็ดขาดเคร่งครัด แน่นอนและไม่มีอคติ และโทษที่จะลงต้องมาก
                           ึ
                 พอที่จะก่อให้ผู้กระท าผิดรู้สึกสูญเสียยิ่งกว่ารู้สึกว่าได้รับประโยชน์จากการกระท าผิด หลักในเรื่องการ
                 ลดหย่อนโทษหรือเหตุปราณีต่าง ๆ จึงยังไม่ได้รับการพิจารณาในยุคนี้

                        ต่อมาเมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ ๑๙ แนวความคิดของส านัก Classical School ได้รับการพฒนาขึ้นใน
                                                                                               ั
                 แนวทางใหม่ มีทัศนะกว้างขึ้นโดยให้ความส าคัญต่อปัจจัยต่างๆ เกี่ยวกับตัวผู้กระท าผิดมากขึ้นเกิดเป็น

                 ส านักใหม่ที่เรียกว่า Neo Classical School ซึ่งได้พฒนาจากแนวความคดเดิมในสาระส าคัญ ๔ ประการ คือ
                                                          ั
                                                                           ิ
                                                                                          ิ
                        ประการแรก เสนอให้มีการน าพฤติการณ์แห่งคดีเข้ามาใช้ประกอบการพิจารณาพพากษาของศาล
                        ประการที่สอง การชี้น าให้ศาลเห็นถึงความจ าเป็นในการพจารณาถึงประวัติภูมิหลังของผู้กระท า
                                                                         ิ
                 ความผิด



                        ๘ ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์. อาชญาวิทยา : สหวิทยาการว่าด้วยปัญหาอาชญากรรม., โครงการต าราโรงเรียนนาย
                 ร้อยต ารวจ พิมพ์ครั้งที่ ๑, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยา, ๒๕๓๑. หน้า ๘
   987   988   989   990   991   992   993   994   995   996   997