Page 30 - annual 2561
P. 30
22
(ค) คดีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐฟ้องขอให้ ค�าพิพากษาหรือค�าสั่งนั้นจะน�าค�าพิพากษาหรือค�าสั่งที่
เพิกถอนค�าสั่งให้ใช้เงินตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราช ถึงที่สุดระหว่างศาลที่ขัดแย้งกันนั้นมายื่นค�าร้องขอให้
บัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอ�านาจหน้าที่ระหว่างศาล
เป็นคดีปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราช วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามค�าพิพากษาหรือค�าสั่งที่
บัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง ถึงที่สุดระหว่างศาลที่ขัดแย้งกันนั้นได้ กรณีจึงมีปัญหา
พ.ศ. ๒๕๔๒ ต้องพิจารณาว่า สมควรที่จะวางแนวทางในการวินิจฉัย
ปัญหาดังกล่าวอย่างไร
ประเด็นที่ ๒ แนวทางการวินิจฉัยกรณี ๑. การยื่นค�าร้องตามมาตรา ๑๔ คู่ความต้อง
ไม่อาจปฏิบัติตามค�าพิพากษาที่ถึงที่สุดทั้งสองฉบับได้
คำาพิพากษาที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน
ทั้งนี้ คณะกรรมการเคยวางหลักไว้ในค�าสั่ง
ที่ผ่านมา คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอ�านาจ ที่ ๑๕๙/๒๕๖๐ ว่า การยื่นค�าร้องขอให้คณะกรรมการ
หน้าที่ระหว่างศาลได้วางแนวทางการพิจารณาเขตอ�านาจ วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามค�าพิพากษาหรือค�าสั่ง
ศาลในคดีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐฟ้องขอให้เพิกถอนค�าสั่งให้ใช้ ของศาล กรณีค�าพิพากษาหรือค�าสั่งที่ถึงที่สุดขัดแย้งกัน
เงินตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทาง ตามมาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการ
ละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยใช้เกณฑ์พิจารณา วินิจฉัยชี้ขาดอ�านาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ นั้น
จากมูลเหตุอันเป็นที่มาแห่งการฟ้องคดีว่าเป็นการกระท�า ต้องเป็นกรณีค�าพิพากษาหรือค�าสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาล
ละเมิดที่อยู่ในอ�านาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด ทั้งสองฉบับนั้นขัดแย้งกันจนเป็นเหตุให้คู่ความหรือบุคคล
กล่าวคือ หากเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระท�าละเมิดที่ ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากค�าพิพากษาหรือค�าสั่งนั้น
เกิดจากการใช้อ�านาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่อาจปฏิบัติตามหรือมีข้อขัดข้องให้ไม่อาจปฏิบัติตาม
ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้ง ค�าพิพากษาหรือค�าสั่งที่ถึงที่สุดทั้งสองฉบับนั้นได้
ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คดีนั้นอยู่ในเขตอ�านาจศาลปกครอง แต่ถ้าเป็นการกระท�า ดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นฐานในการพิจารณา
ละเมิดที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ทั่วไปของเจ้าหน้าที่ ในคดีความผิดทางวินัยของศาลปกครองและในคดีอาญา
มิได้เกิดจากการใช้อ�านาจตามกฎหมาย เป็นคดีที่อยู่ใน ของศาลยุติธรรมจะเป็นข้อเท็จจริงเดียวกัน แต่ศาลทั้ง
เขตอ�านาจศาลยุติธรรม (ค�าวินิจฉัยที่ ๒/๒๕๕๐ ที่ สองฟังข้อเท็จจริงต่างกัน แต่เมื่อประเด็นในคดีทั้งสอง
๖๔/๒๕๕๗ และที่ ๔๒/๒๕๕๙) แตกต่างกันและการพิสูจน์ความผิดที่กฎหมายประสงค์
ให้ลงโทษนั้นก็แตกต่างกัน ทั้งไม่ปรากฏว่ามีข้อขัดข้อง
เมื่อความรับผิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐในเรื่องการ ในการปฏิบัติตามค�าพิพากษาทั้งสองฉบับ กรณีนี้จึงไม่ใช่
ใช้จ่ายงบประมาณและการเงินการคลังนั้นมีทั้งความ ค�าพิพากษาที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามมาตรา ๑๔
รับผิดทางอาญา ทางแพ่ง และทางปกครอง ซึ่งอยู่ใน
อ�านาจพิจารณาพิพากษาของศาลต่างกัน ทั้งนี้แม้จะ ๒. เกณฑ์การวินิจฉัย
อาศัยข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุในการฟ้องคดีเป็นเรื่อง ที่ผ่านมา คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอ�านาจ
เดียวกันหรือเกี่ยวพันกัน ดังนี้ เมื่อมีการฟ้องคดีต่อศาล หน้าที่ระหว่างศาลได้วินิจฉัยคดีที่ค�าพิพากษาที่ถึงที่สุด
ที่มีเขตอ�านาจแตกต่างกันและศาลนั้นได้มีค�าพิพากษา ระหว่างศาลขัดแย้งกันไว้จ�านวน ๖ เรื่อง โดยใช้เกณฑ์
ถึงที่สุดโดยวินิจฉัยข้อเท็จจริงแตกต่างกัน ย่อมเป็น พิจารณาตามบทบัญญัติมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติ
เรื่องที่คู่ความหรือผู้ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจาก ว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอ�านาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.