Page 181 - Thesis PhD Anger by Chaichana
P. 181
๑๖๑
ความโกรธเกิดเพราะความคิดเชิงลบที่เข้ามาประกอบให้เกิดอารมณ์โกรธ เมื่อรู้เช่นนี้ย่อมสามารถให้
อภัยได้เมื่อเผชิญกับความโกรธ สำหรับพระพุทธศาสนาเน้นการให้อภัยทานและการเจริญเมตตาธรรม
แก่สรรสัตว์ทั้งหลาย พระพุทธศาสนามีทัศนะว่าหลักธรรมที่เป็นปรปักษ์กับความโกรธคือเมตตา
เพราะขณะจิตประกอบเมตตาความโกรธจะเกิดขึ้นไม่ได้ เนื่องจากธรรมชาติของจิตรับรู้อารมณ์ได้
์
เพียงหนึ่งอารมณต่อหนึ่งขณะจิต ดังนั้นเมื่อจิตประกอบด้วยเมตตาขึ้นแล้วความโกรธย่อมเกิดขึ้นไม่ได้
หรือในทางกลับกันหากเกิดความโกรธขึ้นแล้วขณะนั้นจิตไม่ประกอบด้วยเมตตา
๖. การปล่อยวาง (Letting Go) การปล่อยวางเป็นเทคนิควิธีที่ทั้งสองศาสตร์มี
แนวคิดและวิธีการที่เหมือนกันในการควบคุมอารมณ์โกรธที่เกิดขึ้น โดยการเรียนรู้ที่จะไม่ยึดมั่นหรือ
เกาะติดกับอารมณ์ ความคิด หรือสถานการณ์ที่ทำให้เราโกรธ ดังนี้
จิตวิทยาเลือกใช้เทคนิคการยอมรับและปล่อยวาง คือยอมรับความรู้สึกว่าโกรธโดย
ไม่ตัดสินตนเองหรือผู้อื่น เพียงแค่รับรู้ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ทุกคน และหาวิธีการปล่อยวาง
ความคิดและอารมณ์โกรธที่ไม่เป็นประโยชน์ โดยการบอกตนเอง เช่น “ฉันเลือกที่จะปล่อยวาง”
ุ
พระพทธศาสนาเลือกใช้ “ฉันเลือกที่จะปล่อยวาง” หรือ “ฉันไม่จำเป็นต้องยึดติดกับ
ความรู้สึกนี้” สำหรับพระพุทธศาสนาใช้ใช้หลักฆราวาสธรรม ๔ (สัจจะ ทมะ ขันติ และ จาคะ) หลัก
เมตตาธรรมและอภัยทาน และ การเจริญวิปัสสนาภาวนา สำหรับการปล่อยวางความโกรธทาง
พระพุทธศาสนาต่างกับทางจิตวิทยาคือหลักการปล่อยวางทางพระพทธศาสนาต้องอยู่บนหลักอริยสัจ
ุ
สี่ คือ กำหนดรู้ความโกรธให้ทันกาล สาเหตุของความโกรธควรละให้ได้ วิธีการจัดการความโกรธที่
ต้นเหตุ และ การใช้สติปัญญาจัดการความโกรธไม่ให้เกิดด้วยสติปัญญา
๗. การใช้อารมณ์ขัน (Using Humor) และ การระบายอารมณ์ (Rage room)
การใช้อารมณ์ขันและการจัดสถานที่ระบายอารมณ์ สามารถปรับเปลี่ยนอารมณ์โกรธและลดความตึง
เครียดได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะวิธีการระบายอารมณ์โกรธด้วยการทำลายวัตถุสิ่งของตั้งแต่ขนาด
เล็กไปถึงขนาดใหญ่เช่น ทุบไข่ ทุบโทรศัพท์ ทุบทีวี ทุบรถ หรือ ทุบบ้าน ซึ่งสามารถปลดปล่อยอารมณ์
ทางกายภาพและลดความเครียดทางจิตใจได้อย่างรวดเร็ว
พระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้ใช้วิธีทั้งสองนี้เพราะเห็นว่าความโกรธเป็นอกุศลกรรม
ควรกำจัดออก ไม่ควรเก็บไว้ การนำความโกรธมาใช้เป็นการตอบสนองความต้องการ (ตัณหา) ย่อมไป
เกื้อกูลต่อราคะ (อกุศลมูล ๓: ราคะ โทสะ และ โมหะ ) ซึ่งความโกรธไม่ได้ถูกปลดปล่อยไป แต่จะถูก
เก็บลงที่ภวังคจิตหรือจิตใต้สำนึกที่รอวันออกมาทำร้ายทำลายในเวลาที่เหมาะสมต่อไป
สรุปได้ว่าการผสมผสานเทคนิคการจัดการอารมณ์โกรธจากจิตวิทยาร่วมกับหลักธรรมทาง
พระพุทธศาสนาย่อมส่งเสริมเกื้อกูลต่อกันส่งผลให้การจัดการความโกรธมีประสิทธิภาพและ

