Page 51 - จุลสารฉบับพิเศษ เล่าขานตำนานศาลายา ประจำปี 2563
P. 51

จุลสาร “เล่าขานต านานศาลายา” ฉบับพิเศษ  |  ๔๓



                    งานวิจัยพบว่า ยาหอมนั้นเจอตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ก่อนยาหอมเป็นยา

            ที่เกิดขึ้นในวัง เป็นของหมอหลวง จากในวังก็เริ่มกระจายมาสู่ชาวบ้าน
            เมื่อชาวบ้านหาสมุนไพรบางตัวไม่ได้ ก็เอาตัวอื่นแทน ท าให้ต ารับของยาหอมมี

            การเปลี่ยนแปลง แต่ว่าตัวยาหลักยังคงอยู่ ยาหอมนั้นใช้แก้อะไรได้บ้าง ปกติยา

            หอมจะแก้ลม วิงเวียน แก้คลื่นไส้อาเจียน แก้ลมปลายไข้คือฟื้นจากอาการไม่
            สบายแล้วก็จะมีอาการเพลียๆ คลายจะเป็นลมเหมือนกัน


                    ในการวิจัยยาหอม ทีมวิจัยได้ศึกษายาหอมของนวโกฐ อินทรจักร

            และปราสาททอง  ยกตัวอย่างยาหอมนวโกฐ เมื่อพิจารณายาหอมนวโกฐ เทียบ

            กับทฤษฎีการแพทย์แผนไทยว่าสมุนไพรแต่ละตัวแก้อะไรบ้าง ก็จะพบกลุ่มยา
            บ ารุงหัวใจ กลุ่มยาแก้คลื่นไส้อาเจียน กลุ่มยาขับลม ช่วยย่อยอาหาร และกลุ่มยา

            แก้ไข้ ซึ่งยาแก้ไข้มีเยอะมาก เหล่านี้เป็นตัวยาตรง เพราะตรงตามสรรพคุณที่

            บอกไว้ทั้งหมดคือ แก้ลมวิงเวียน คลื่นเหียน อาเจียน (ลมจุกแน่นในอก)
            ในผู้สูงอายุ แก้ลมปลายไข้ (อาการที่หลังจากฟื้นไข้แล้วยังคลื่นเหียน วิงเวียน

            เบื่ออาหาร ท้องอืด อ่อนเพลีย) เหล่านี้คือตัวยาตรงที่รักษาหลายอาการ


                    นอกจากนี้ยังมียากลุ่มนึงที่เป็นยาปรับธาตุเป็นพวกกลุ่มยาร้อน เช่น
            ขิงแห้ง พริกไทย ดีปลี ชะพลู สะค้ำน เรียกว่า เบญจโกฐ ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่ช่วยเรื่อง

            ธาตุลม สังเกตดูว่ามีกลิ่นขิง พริกไทย ทุกตัวมีกลิ่นเฉพาะตัว ยกเว้น เจตมูลเพลิงแดง

            ที่ไม่มีกลิ่นแต่ช่วยธาตุไฟ ตัวอื่นจะช่วยเรื่องธาตุลม เพราะฉะนั้นยาปรับธาตุ
            เบญจโกฐจะช่วยทั้งธาตุลมและธาตุไฟ นอกจากกลุ่มยาร้อนยังมีกลุ่มยาระบาย

            เช่น มะข้ำมป้อม สมอพิเภก กระล ำพัก ที่ต้องใส่ยาระบายเพราะเมื่อไม่สบาย

            บ่อยครั้งท้องผูก และของเสียจ าเป็นต้องออกจากร่างกาย ถ้าไม่สบายแล้ว
   46   47   48   49   50   51   52   53   54   55   56