Page 19 - บทที่ ๑
P. 19
๖
ที่ ๓) คณะสงฆ์เวียดนามต้องขาดความสัมพันธ์กับเวียดนาม พวกที่บวชเรียนในเวลาต่อมาจึงเป็นพวก
เวียดนามที่เกิดในประเทศสยามเท่านั้น
ส่วนรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ เมืองญวนมิได้เป็นศัตรูกัน มีการไปมาหาสู่เพื่อสืบศาสนาในเมือง
ญวน แต่การเดินทางไม่สะดวกนักเพราะเวียดนามตอนนั้นตกอยู่ในอำนาจของฝรั่งเศส จึงทำให้ไม่
สามารถติดต่อเพื่อสืบศาสนากันได้ พระสงฆ์ที่อยู่ในประเทศสยาม กับพระสงฆ์ที่อยู่ในประเทศเวียดนาม
ต่างฝ่ายต่างก็ถือคติตามประเทศที่ตนอยู่ พระสงฆ์ญวนในประเทศสยามก็หันมาแก้ไขคติตามพระสงฆ์ไทย
หลายอย่าง เช่น ศาสนาสถาน (วัดวาอาราม), สิกขาบทวิกาลโภชน์, การครองผ้าสีเหลืองเพียงสีเดียว, ไม่
ใส่ถุงเท้า, ไม่ใส่เกือก เป็นต้น
เมื่อรัชกาลที่ ๕ เสด็จไปยังกาญจนบุรีใน พ.ศ. ๒๔๕๐ นั้น ได้ทรงมีพระราชหัตถเลขาเล่าเรื่องวัด
เวียดนามพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชมกุฎราชกุมารว่า“มีวัดญวนตั้งประชิดอยู่ติดกับวัด
เหนือนี้วัดหนึ่ง ได้ตั้งมาช้านานแล้ว มีพระพุทธรูปใหญ่สามองค์ ว่าเป็นพระศิลาไปนำมาแต่เมือง
กาญจนบุรีเก่า อาการกิริยาของวัดแลของพระหันเข้ามาข้างไทย พระพุทธรูปไม่มีพระจีนเลย เวลาสวดก็
นั่งสวดอย่างไทยยังเป็นอย่างเจ๊กอยู่ก็ยังมีจุดประทัดและทอดติ้ว”
ในระยะแรกพวกที่นับถือพระสงฆ์เวียดนามได้แก่ชาวเวียดนามและชาวจีนเท่านั้น ในสมัยนั้นยัง
ไม่มีวัดจีนในประเทศสยาม พวกจีนนับถือลัทธิมหายานจึงอาศัยทำบุญที่วัดเวียดนามด้วย คนไม่ไม่ได้นับ
ถือแต่ก็ไม่รังเกียจเพราะเห็นว่าถือศาสนาเดียวกัน
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ครั้งยังทรงผนวชดำรงพระยศ
สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ ในรัชกาลที่ ๓ พระองค์ทรงสนพระทัยจะศึกษาลัทธิมหายาน ทรงสอบถามจาก อง
ฮึง (ซึ่งได้เป็น พระครูคณานัมสมาณาจารย์ องค์แรก เมื่อรัชกาลที่ ๕) จึงได้ทรงคุ้นเคย ชอบพระราช
อัธยาศัยมาแต่ครั้งนั้น ครั้นเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติแล้ว องฮึงได้เป็นอธิการวัดญวน ที่ตลอดน้อย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดฯ ช่วยปฏิสังขรณ์ (ต่อมาถึงรัชกาลที่ ๕
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงช่วยอีก จึงเป็นเหตุให้พระราชทานนามวัดนั้นว่า วัดอุภัย
ราชบำรุง) พระญวนได้มีโอกาสเข้าเฝ้าแหนได้ตั้งแต่ในรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา ข้อนี้พึงได้จากงานเฉลิมพระ
ชันษา พระญวนยังเข้าไปถวายธูปเทียนและกิมฮวยอั้งติ๋วอยู่ทุกปี จนบัดนี้
ส่วนพีธีกงเต็กที่ได้ทำเป็นงานหลวงนั้น ปรากฏว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ
ให้ทำเป็นครั้งแรก เมื่องานพระศพสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เมื่อปีระกา พ.ศ. ๒๔๐๔ ต่อนั้นมา
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต ในปีฉลู พ.ศ. ๒๔๐๘ โปรดฯ ให้ทำพิธีกงเต็กที่
ในพระบรมราชวังอีกครั้งหนึ่ง ต่อนั้นถึงงานพระศพกรมหมื่นมเหศวรศิววิลาศ ก็โปรดฯ ให้ทำพิธีกงเต็ก
เป็นพิธีที่ได้เข้าอยู่ในระเบียบงานพระศพของพระบรมราชวังทางการเป็นการใหญ่ นับแต่นั้นมา