Page 70 - รายงานวิจัยน้ำทะเล_Neat
P. 70
60
9.3.2 การปลูกฝังให้รู้จักประมาณในการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติ การใช้
ทรัพยากรให้พอดีกับความต้องการ จะช่วยลดการสูญเสียทรัพยากร และท าให้มีทรัพยากรเหลือใช้
อย่างยาวนานผู้น าสังคมควรประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อมในชุมชน
9.3.3 การใช้มาตรการที่เป็นบรรทัดฐานของสังคม เช่น ระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ
กฎหมายอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เป็นต้น
9.3.4 การพัฒนาโครงการต่างๆ ไม่ควรเน้นหนักในด้านเศรษฐกิจมากเกินไป
เพราะจะท าให้มีการแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติมาใช้อย่างสิ้นเปลือง ควรพัฒนาจิตส านึกของคนใน
สังคมควบคู่กันไปด้วย
9.4 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตระหนัก
Brackher (อ้างถึงใน ประภาส บุญยินดี, 2536: 15) กล่าวว่า ความตระหนักเกิด
จากทัศนคติที่มีต่อสิ่งเร้าอันได้แก่ บุคคล สถานการณ์ กลุ่มสังคม และสิ่งต่างๆ ที่โน้มเอียงหรือพร้อมที่
จะสนองตอบในทางบวกหรือทางลบ เป็นสิ่งที่เกิดจากการเรียนรู้ประสบการณ์องค์ประกอบส าคัญที่
ก่อให้เกิดความตระหนักมี 3 ประการคือ
1) พุทธิปัญญาหรือความรู้ความเข้าใจ (Cognitive or belief component)
ความรู้หรือความเข้าใจจะเริ่มต้นจากระดับงานและมีการพัฒนาขึ้นตามล าดับ
2) อารมณ์ความรู้สึก (Affective component) เป็นความรู้สึกด้านทัศนคติค่านิยม
ความตระหนัก ชอบหรือไม่ชอบ ดีหรือไม่ดี เป็นองค์ประกอบในการประเมินสิ่งเร้าต่างๆ
3) พฤติกรรม (Behavioral component) เป็นการแสดงออกทั้งวาจากิริยา
ท่าทางที่มีต่อสิ่งเร้าหรือแนวโน้มที่บุคคลจะกระท า ดังนั้น บุคคล สถานการณ์ กลุ่มสังคม การเรียนรู้
และประสบการณ์ จึงเป็นปัจจัยที่มีผลต่อความตระหนักโดยมีความรู้ความเข้าใจความรู้สึกและ
พฤติกรรมเป็นองค์ประกอบที่ก่อให้เกิดความตระหนัก บุคคล สถานการณ์ กลุ่มสังคม การเรียนรู้ และ
ประสบการณ์เป็นปัจจัยที่มีผลต่อความตระหนัก โดยความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และพฤติกรรมเป็น
องค์ประกอบที่ก่อให้เกิดความตระหนัก การจะให้บุคคลมีพฤติกรรมในทิศทางที่พึงปรารถนานั้น
จ าเป็นที่จะต้องให้บุคคลเกิดความตระหนักต่อตนเองและสังคมซึ่งบุคคลจะเกิดความตระหนักได้ก็ต้อง
มีการรับรู้สิ่งนั้น
9.5 การวัดความตระหนัก
ความตระหนัก (Awareness) เป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวกับการรู้ส านึกในสิ่งนั้นอยู่
จ าแนกและรู้จัก ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ละเอียดอ่อนเกี่ยวกับความรู้สึกและอารมณ์ ดังนั้น การจะท าการ
วัดและประเมินจะต้องมีหลักการและวิธีการ รวมถึงเทคนิคเฉพาะ (ชวาล แพรรัตกุล, 2526 อ้างถึงใน
ศิริกาญจน์ ศิริเลข, 2551) ดังนี้น
1) วิธีการสัมภาษณ์ (Interview) อาจเป็นการสัมภาษณ์ชนิดที่มีโครงสร้างแน่นอน
โดยสร้างค าถามและค าตอบให้เลือกเหมือนๆ กันกับแบบสอบถามชนิดเลือกตอบ และค าถามจะต้อง
ตั้งไว้ก่อน เรียงล าดับก่อนหลังไว้อย่างดี หรืออาจเป็นแบบไม่มีโครงสร้าง ซึ่งเป็นการสัมภาษณ์ที่มีไว้
แต่หัวข้อใหญ่ๆ ให้ผู้ตอบมีเสรีภาพในการตอบมากๆ และค าถามก็เป็นไปตามโอกาสอ านวยและขณะที่
สนทนานั้น