Page 55 - 08_กฎหมายอาญา_Neat
P. 55

๔๒




                             หากเปนกรณียกเวนความผิดแลว แมไมมีกฎหมายบัญญัติยกเวนความผิดไวเปน
              ลายลักษณอักษรในขณะกระทํา ก็นํามาใชไดโดยไมขัดตอหลักในมาตรา ๒ เพราะเปนการนํามาใช

              เพื่อเปนผลดีมิใชเปนผลรายแกผูกระทํา เชน หลักในเรื่องความยินยอมซึ่งยกเวนความผิดของผูกระทํา
              ในบางกรณีก็ยอมนําหลักนี้มาใชได แมจะไมมีกฎหมายบัญญัติไวเปนลายลักษณอักษร

                             ๒.  กฎหมายอาญาจะยอนหลังใหผลรายมิได ทั้งนี้ เพราะมาตรา ๒ ใชคําวา “ในขณะ
              กระทํา” หมายความวา

                                  ๒.๑  หากในขณะกระทํา ไมมีกฎหมายบัญญัติเปนความผิด ตอมามีการ
              ออกกฎหมายยอนหลังโดยถือวากระทํานั้นเปนความผิดมิได เชน ขณะนี้การทําชูไมมีกฎหมายอาญา

              บัญญัติวาเปนความผิด ดังนั้น การที่นางขาวภริยานายแดงลักลอบทําชูกับนายดํา นางขาวและนายดํา
              ไมมีความผิด ถาตอมารัฐเห็นวาการทําชูกอใหเกิดปญหาแกสังคม และศีลธรรมของคนในชาติ

              รัฐจึงบัญญัติกฎหมายวา การทําชูเปนความผิดอาญา เชนนั้น บทบัญญัตินี้ยอนหลังไปถือวาการกระทํา
              ของนางขาวและนายดํา ซึ่งสิ้นสุดลงไปแลว เปนความผิดมิได
                                  ฎีกาที่  ๒๑๙/๒๕๓๙ การที่นายกรัฐมนตรีจะสั่งลงโทษเจาหนาที่ของรัฐ

              ผูรํ่ารวยผิดปกติหรือไม ไมเปนการตัดอํานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ป.ที่จะสงเรื่องใหพนักงานอัยการ
              ยื่นคํารองตอศาลเพื่อใหศาลสั่งใหทรัพยสินดังกลาวตกเปนของแผนดิน มีผูรองเรียนกลาวหาผูคัดคาน

              ที่ ๑ ตอ คณะกรรมการ ป.ป.ป.ในระหวางที่ผูคัดคานที่ ๑ เปนเจาหนาที่ของรัฐวาผูคัดคานที่ ๑ รํ่ารวย
              ผิดปกติ คณะกรรมการ ป.ป.ป.จึงไดทําการสืบสวนสอบสวนเรื่อยมาและไดสงเรื่องใหพนักงานอัยการ

              ผูรองยื่นคํารองตอศาลเปนการกระทําเกี่ยวพันสืบตอกันมาโดยมุงหมายถึงทรัพยสินที่ผูคัดคานที่ ๑
              ไดมาในระหวางเปนเจาหนาที่ของรัฐแมขณะยื่นคํารองผูคัดคานที่ ๑ เกษียณอายุราชการแลวก็ตาม

              สวนผูคัดคานที่ ๒ และที่ ๓ นั้นไมใชเจาหนาที่ของรัฐแตเปนผูถือกรรมสิทธิ์ในทรัพยสินแทนผูคัดคานที่ ๑
              ผูรองจึงมีอํานาจยื่นคํารองขอใหศาลมีคําสั่งใหทรัพยสินของผูคัดคานที่ ๑ ตกเปนของแผนดิน

              พระราชบัญญัติปองกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติชอบในวงราชการ พ.ศ.๒๕๑๘ มาตรา ๒๐
              ที่บัญญัติใหศาลสั่งใหทรัพยสินที่เจาหนาที่ของรัฐไดมาโดยมิชอบตกเปนของแผนดินนั้นเปนเพียง

              วิธีการที่จะปองกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติชอบในวงราชการอันเปนวิธีการทางวินัย
              เทานั้นมิใชเปนการลงโทษแกผูกระทําความผิดทางอาญาอันจะตองอยูภายใตบังคับของหลักกฎหมาย

              ที่บุคคลจะตองรับโทษทางอาญาตอเมื่อไดกระทําการอันกฎหมายที่ใชในขณะกระทํานั้นบัญญัติเปน
              ความผิดและไดกําหนดโทษไว ดังนั้นกฎหมายนี้ยอนหลังไปบังคับถึงทรัพยสินของเจาหนาที่ของรัฐ

              ที่ไดมาโดยมิชอบและยังคงมีอยูในขณะที่กฎหมายนี้ใชบังคับไดเพราะการไดทรัพยสินมาโดยมิชอบดวย
              หนาที่นั้นเปนการผิดวินัยตั้งแตที่ไดรับมา พระราชบัญญัติปองกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติ
              มิชอบในวงราชการ พ.ศ.๒๕๑๘ มาตรา ๒๑ จัตวา เปนบทบัญญัติที่ใหอํานาจคณะกรรมการสอบสวน

              โดยมีกําหนดระยะเวลามิใชมิใหใชบังคับแกผูที่ออกจากราชการไปแลว พระราชบัญญัติปองกันและ

              ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ พ.ศ.๒๕๑๘ ใชบังคับแกเจาหนาที่ของรัฐทุกคน
   50   51   52   53   54   55   56   57   58   59   60