Page 28 - Top Executive Sharing
P. 28
26
ค าถาม : ท่านช่วยกรุณาเล่าหลักการในการครองตน ครองคน และครองงานให้ทราบหน่อยครับ ว่าท่านมี
หลักเช่นไรบ้าง
ก่อนอื่นขอเริ่มจากการครองตนก่อน การครองตนผมมองว่าเป็นเรื่องที่สําคัญ ทุกคนเกิดมามีฐานะ
ที่แตกต่างกัน มีความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน แต่ทุกคนต่างก็มีความใฝุฝันที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ
อยากมีฐานะที่มั่นคง มีทรัพย์สินมีรายได้ที่เพียงพอกับการดํารงชีวิตของตนเองอย่างสุขสบาย ซึ่งปัญหาตัวนี้
มันจะไปเกี่ยวข้องโดยตรงกับการทํางานอย่างแน่นอน อันนี้ไม่สามารถปฏิเสธได้ เมื่อไรที่ตัวตนของเรามีปัญหา
เรามีหนี้มีสิน ส่งลูกเรียน พ่อแม่ปุวย หรืออะไรก็แล้วแต่ หรือสิ่งของที่เราอยากได้ เราอยากมีรถดี เราอยากจะมี
ที่พักอาศัยดีๆที่สุขสบาย แต่ในขณะเดียวกัน คือ รายได้/เงินเดือนอาจจะไม่เพียงพอสนองกับความต้องการของเรา
หรือความใฝุฝันของเรา ทุกคนย่อมมีความฝันในการทํางานเพื่อความสุข ความสบายทั้งตัวเราและครอบครัว
อันนี้เป็นหลักใหญ่ ส่วนตัวผมโชคดีอยู่อย่างหนึ่ง จริงๆ ฐานะทางบ้านของผมไม่ได้มีฐานะร่ํารวยอะไรมาตั้งแต่
เมื่อครั้งยังเด็กๆ แต่เหตุผลหนึ่งที่ผมเลือกที่จะมาเป็นตํารวจ ไม่ใช่เพราะอยากเป็น หรือเพราะเห็นในหนังแล้ว
อยากเป็น ผมไม่ได้มีความคิดที่อยากจะเป็นตํารวจเลย เพราะว่าผมมีพี่น้องอยู่ 7 คน พี่น้องผมทั้ง 6 คน
มี 5 คนเรียนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในคณะวิศวกรรมศาสตร์, สถาปัตยกรรมศาสตร์ ส่วนคนที่เรียน
แพทยศาสตร์ อยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดล จะเห็นได้ว่าทุกคนเรียนเก่งกันหมดเลยยกเว้นผม ผมนี่ทั้งเรียนไม่เก่ง
และขี้เกียจ ก็สอบติดในคณะบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งพี่น้องผมเรียนจุฬาลงกรณ์หมด ก็เกรงว่า
จะทะเลาะกัน ประกอบกับตอนนั้นที่บ้านก็ไม่ค่อยมีฐานะ คุณพ่อ-คุณแม่ก็ลําบาก ซึ่งคุณพ่อผมนั้นก็เป็นศิลปินแห่งชาติ
ที่เป็นปฏิมากรปั้นรูปต่างๆ เช่น พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่วงเวียนใหญ่, รูปปั้นพลเรือน
ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งในการเป็นศิลปินท่านก็ไม่ได้มีความคิดทางด้านการค้าเลย ท่านก็ตั้งใจทําผลงานทางศิลปะ
ถ้าจะเรียกตามที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกกัน ก็คือ ศิลปินไส้แห้ง ทําอะไรก็ต้องทําให้ดียกตัวอย่างเช่น การปั้นครุฑ
ของธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งที่เราเห็นโดยทั่วไปจะเห็นว่าครุฑนั้นติดตั้งอยู่ด้านบนของอาคารธนาคาร ซึ่งตาคน
โดยทั่วไปจะมองไม่เห็นว่าผิวของรูปปันครุฑจะมีตําหนิหรือริ้วรอยจากการปั้นเช่นไร แต่พ่อผมไม่ได้ท่านต้องทํา
อย่างละเอียดให้ดีที่สุด ต้องไม่มีรอยอันใดที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมจะเห็นถึงความลําบากของคุณพ่อและคุณแม่
ของผมตั้งแต่วัยเด็ก พอดีเพื่อนของผมไปสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตํารวจ ซึ่งในสมัยนั้นเค้าพูดกันว่าถ้าไม่มี
เส้นสายไม่ต้องไปสอบหรอกโรงเรียนนายร้อยตํารวจ ไม่มีทางได้อย่างแน่นอน พอดีเพื่อนสนิทผมคนหนึ่ง
อยากจะเป็นตํารวจ เขาก็เลยชวนผมให้ไปสอบด้วยกันผมก็เลยลองไปสอบเป็นเพื่อน ซึ่งในตอนนั้นผมก็ว่ายน้ําไม่เป็น
โดยส่วนหนึ่งของการสอบนั้นจะต้องมีการสอบว่ายน้ําจับเวลาในระยะทาง 50 เมตร ที่สนามกีฬาแห่งชาติ
(สนามศุภชลาศัย) มีการสอบรอบผมทั้งหมดจํานวน 9 ลู่ โดยผมเข้าเส้นชัยมาเป็นที่ 8 เพราะมีอยู่ลู่หนึ่งจมน้ํา
ไปตั้งแต่ต้น ผมก็ใช้วิธีการสาวเชือกไปจนถึงเส้นชัยเนื่องจากว่ายไม่เป็น และในการสอบก็มีการทดสอบ
โดยการวิ่งแข่งขัน รอบสนามศุภชลาศัยจํานวน 2.5 รอบ ตอนแรกก็นัดกับเพื่อนที่สอบด้วยกันก่อนหน้า
ว่าไม่ต้องเร่งความเร็วมากให้ไปพร้อมๆกัน พอเมื่อสิ้นเสียงสัญญาณปล่อยตัวปรากฏว่าเพื่อนเร่งความเร็วแซง
ไม่รอกัน ทําให้ต้องวิ่งตามซึ่งเหนื่อยมาก ในส่วนของการทดสอบการวิ่งนี้ผลปรากฏว่าเข้าที่สุดท้าย ทําให้ไม่คิดว่า
ตัวเองจะสอบติด แต่สุดท้ายก็ปรากฏว่าสอบติดทําให้ต้องเลือกระหว่างที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับ โรงเรียนนายร้อยตํารวจ ก็ปรากฏว่าการเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยตํารวจ
จะมีเงินเดือนให้ด้วย ก็เลยตัดสินใจเลือกเรียนที่โรงเรียนนายร้อยตํารวจ เพราะอยากจะได้เงินเดือน โดยในตอนนั้น
ได้เงินเดือนสมัยเป็นนักเรียนเดือนละ 150 บาท ต่อมาภายหลังขึ้นมาเป็น 180 บาท และในปีสุดท้ายที่เรียน
รู้สึกว่าจะได้เงินเดือน 300 บาท ซึ่งในการเรียนตอนนั้นเรียกว่ากินฟรีอยู่ฟรี มีเครื่องแบบให้เสร็จสรรพ ซึ่งทําให้
ไม่ต้องเดือดร้อนพ่อแม่ จึงเป็นเหตุผลที่เลือกเรียนที่โรงเรียนนายร้อยตํารวจ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในการเลือกนั้นไม่ได้
คิดอะไรมาก แต่อาจจะเป็นเพราะชะตาฟูาลิขิตให้มาเป็นเสียมากกว่า ไม่รู้ว่าหากในตอนนั้นผมเลือกที่จะเรียน
ทางด้านบัญชี ก็อาจจะรวยกว่าตอนนี้ไปเยอะแล้วก็เป็นได้