Page 25 - Top Executive Sharing
P. 25
23
แต่ก็สามารถผ่านพ้นมาได้ ก็เริ่มมีประสบการณ์ในการปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาเรื่อยมา ทางด้านการสอบสวน
ก็ถูกเคี่ยวเข็ญ ซึ่งสมัยก่อนไม่มีคอมพิวเตอร์จะมีแต่เพียงเครื่องพิมพ์ดีดในการพิมพ์หนังสือ โดยใน
1 หน้ากระดาษห้ามมีคําผิด โดยพิมพ์มาจนถึงบรรทัดสุดท้ายหากพิมพ์ผิดก็ต้องไปเริ่มพิมพ์ใหม่ ส่งสํานวนไปแต่ละ
สํานวนถูกกลับมาแก้ตลอด บางคนถึงกับถูกโยนออกมานอกห้องก็มี ด้วยความเป็นตํารวจก็ได้ถูกฝึกมาให้อดทน
ต่อความเจ็บใจ ถูกด่าถูกว่าอย่างไรก็ต้องทน ซึ่งทนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนที่โรงเรียนนายร้อยตํารวจ
จนมาวันหนึ่งในช่วงที่เป็นพนักงานสอบสวนอยู่ ก็มีคนมาแจ้งความว่าถูกชิงทรัพย์ ซึ่งผู้ต้องหา
ได้ทําการหลบหนีไป ซึ่งตามหน้าที่จริงๆจะเป็นหน้าที่ของฝุายสืบสวนที่มีหน้าที่ออกไปติดตามจับกุม
ปรากฏว่าขณะนั้นเจ้าหน้าที่ฝุายสืบสวนติดภารกิจไม่สามารถออกไปดําเนินการได้ ซึ่งตัวผู้เสียหายก็รู้ว่า
ผู้ต้องหาเป็นใครเนื่องจากรู้จักกัน และน่าจะหลบหนีไปอยู่ที่จังหวัดสุโขทัย จึงได้มาทําการปรึกษาว่า
ควรทําอย่างไร ผมจึงต้องไปดําเนินการเองโดยลําพัง ซึ่งเมื่อเดินทางไปที่จังหวัดสุโขทัยก็ไปเจอผู้ต้องหาทั้ง 2 คน
ที่ชิงทรัพย์ โดยเจอของกลางทั้งหมดซึ่งในการปฏิบัติการครั้งนั้นก็อาศัยใจดีสู้เสือ พูดคุยเจรจากับผู้ต้องหาดีๆ
จนกล่อมให้ผู้ต้องหากลับมาได้ ตั้งแต่นั้นมาก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นฝุายสืบสวน ซึ่งก็ทํางานด้านการสืบสวนเรื่อยมา
จนเรียกว่าเป็นตัวตนของเรา โดยในด้านงานสืบสวนส่วนใหญ่ก็จะได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาเรื่อยมา
จนมาถึงระดับหนึ่งที่ต้องเลื่อนตําแหน่งจากรองสารวัตรเป็นสารวัตร ซึ่งระบบต้องไปเป็นพนักงานสอบสวนก่อน
จึงจะกลับมาเป็นหน้าที่อื่นได้ ซึ่งต้องกลับมาเข้าเวรอีกครั้ง โดยขณะนั้นก็ไปประจําอยู่ที่ สน.บางเขน ก็ทําการ
สอบสวนมาระยะหนึ่ง จนมาขึ้นเป็นรองผู้กํากับก็มาเป็นรองผู้กํากับฝุายสืบสวนสอบสวน ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของ
ชีวิตเนื่องจากต้องกลับมาศึกษาเรื่องการทําสํานวน เรื่องการทําประเด็นทุกอย่างแต่เราได้อาศัยประสบการณ์
จากการขึ้นศาลบ่อยๆ ซึ่งต้องถูกซักถามจากทนายบ่อยๆ จนรู้ถึงประเด็นที่มักจะทําการซักถาม เนื่องจากผม
เป็นคนที่ไม่เคยหนีจากการเป็นพยานศาล ในสํานวนปกติก็จะมีผู้จับกุมหลายคนแต่ละคนก็ไม่ชอบที่จะขึ้นศาล
เนื่องจากไม่ชอบที่จะถูกซัก สมัยก่อนการตอบคําถามในศาล ถ้าตอบพลาดแล้วศาลยกฟูอง ผู้ตอบคําถาม
หรือพนักงานสอบสวนหรือผู้จับกุม จะต้องถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยถูกลงโทษทางวินัย เป็นเหตุให้
ไม่มีใครอยากขึ้นศาล แต่ผมบังเอิญที่เป็นผู้โชคดีที่ได้ประสบการณ์จากตรงนี้มาเยอะ ต่อมาได้รับการคัดเลือก
ให้ทําคดีที่โจรชาวฮ่องกงชิงตัวประกันผู้ต้องขังหรือนักโทษจากศาลอาญา (สนามหลวง) เรียกว่าแก็งค์ 4 Kings
ทางกองบัญชาการตํารวจนครบาลจึงได้ทําการตั้งชุดปฏิบัติการขึ้นมาสืบสวนสอบสวนตามหาผู้ต้องขังที่ทําการ
หลบหนี จนมาสืบทราบว่าได้หนีมากบดานอยู่ที่หมู่บ้านสหกรณ์การบินไทยตรงปากเกร็ด ซึ่งเมื่อก่อนละแวกนี้
จะเป็นถนนเลนส์เดียวให้รถสวนกัน หมู่บ้านสหกรณ์การบินไทยในตอนนั้นถือว่าไกลมาก เหมือนว่าเป็นหมู่บ้านเล็กๆ
เงียบๆในชนบท ซึ่งผมเองก็ได้รับเลือกให้เข้าร่วมชุดปฏิบัติการที่จะเข้าไปทําการจับกุม โดยในชุดจับกุมนั้นส่วนใหญ่
จะสังกัดกองสืบสวนของกองบัญชาการตํารวจนครบาลมีผมเพียงคนเดียวที่สังกัดอยู่ที่โรงพัก ซึ่งขณะนั้น
ยังประจําอยู่ที่สถานีตํารวจนครบาลบางเขน ก็ไม่ได้คิดอะไร เนื่องจากไม่เคยคิดว่าจะมีประสบการณ์เช่นนี้
โดยในปฏิบัติการก็ได้วางแผนโดยแบ่งชุดปฏิบัติการออกเป็น หลายชุด ได้แก่ ชุดเข้าหน้าบ้าน, ชุดเข้าหลังบ้าน
หน่วยปูองกันเหยื่อ เป็นต้น ซึ่งก็ได้วางแผนเป็นจุดๆ ซึ่งผมกับผู้บังคับบัญชาอีก 4 ท่าน ได้รับมอบหมายให้เป็น
ชุดบุกเข้าไปในตัวบ้านชุดแรก ซึ่งในตอนแรกก็ยังไม่แน่ใจว่าผู้ต้องหาอยู่หรือไม่ ซึ่งลักษณะบ้านที่จะเข้าทําการ
จับกุมนั้นมีลักษณะเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ซึ่งมีรั่วไม่สูงมากระดับประมาณหน้าอก ซึ่งในขณะปฏิบัติหน้าที่
ก็เตรียมไปเพียงอาวุธธรรมดาก็คือปืนพกธรรมดา เมื่อไปถึงที่หมายก็ทําการกระโดดข้ามกําแพงเข้าไปยังบริเวณ
ตัวบ้าน เมื่อกระโดดเข้าไปทางผู้ต้องหาก็ได้ทําการยิงต่อสู้ ซึ่งบรรยากาศตอนนั้นก็ทําการยิงต่อสู้กันอุดตะลุด
ซึ่งจําได้ว่าใช้กระสุนต่อสู้หมดไปจํานวน 3 แม็กกาซีน เมื่อสิ้นสุดการต่อสู้และเข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ
ก็ปรากฏว่าผู้ต้องหาเสียชีวิตไปจํานวน 3 ศพ และได้พบระเบิดซึ่งเป็นระเบิดจากประเทศจีนที่พร้อมทํางาน
แต่บังเอิญที่เรายิงเขาได้ก่อนจึงไม่ระเบิดซึ่งถือว่าโชคดีไป อันนี้ก็เป็นประสบการณ์ที่เชื่อว่าในชีวิตของคน
ที่รับราชการตํารวจแล้วประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้แทบจะน้อยมาก ซึ่งผมก็ถือว่าโชคดีที่ได้รับเลือก