Page 77 - สังคม เศรษฐกิจ การเมืองไทย
P. 77
๖๘
เนนเรื่องความแตกตางมากกวาเรื่องของความตํ่าตอย โดยเปนเรื่องของความแตกตางระหวางกลุม
วัฒนธรรม อาทิ พวกคนอพยพผิวดําจากแคริเบียนก็ถูกมองโดยคนอังกฤษวาเปนพวกที่ครอบครัว
แตกแยกไมสามารถสรางครอบครัวได ขณะที่พวกที่มาจากเอเชียก็จะเปนพวกครอบครัวขยายซึ่งทําให
เกิดการเพิ่มขึ้นของประชากร ดังนั้นการมีสัญชาติอังกฤษจึงไมพอ และสิ่งที่จะตองมีก็คือวิธีคิดในแบบ
อังกฤษ (จะเห็นวา new racism นั้นเกี่ยวพันกับแนวคิดเรื่องชาติพันธุและอคติทางชาติพันธุ แตเปน
เรื่องที่เกิดขึ้นในสังคมเมือง-สังคมสมัยใหม)
ในทัศนะของพวกมารกซิสมใหม new racism นั้นเกิดมาจากการตอบสนองตอวิกฤติ
ในสังคมอังกฤษที่เกี่ยวของกับเรื่องของการวางงาน จํานวนอาชญากรที่เพิ่มขึ้น และการลมสลายของ
ครอบครัว ซึ่งชนกลุมนอยที่เขามาอยูในสังคมนั้นมักจะเปนแพะ-เหยื่อที่งายที่สุดสําหรับการอางถึง
แตอยางไรก็ตามการเกิดขึ้นของ new racism นั้นมิไดเกิดขึ้นอยางทันที-อัตโนมัติจากการเปลี่ยนแปลง
ทางเศรษฐกิจ หากแตเกิดขึ้นไดจากการใชองคประกอบบางประการของ racism ในแบบเกา โดยเฉพาะ
อยางยิ่งตองทําหนาที่ผนึกประสานชนชั้นกรรมาชีพผิวขาวไวใหได นอกจากนี้แลว new racism ยังให
ความสําคัญการอธิบายวาใครควรจะเปนสมาชิกอันชอบธรรมของสังคมบาง โดยประเด็นที่สําคัญก็คือ
ความแตกตางไมเปนเนื้อเดียวนั้น
แนวโนมในสังคมปจจุบันมีการกอตัวของการตอตานชาวอิสลามอยางบาคลั่ง
(lslamophobia) โดยมองวาอิสลามนั้นเปนศาสนาที่เปนหนึ่งเดียว ไมมีการเปลี่ยนแปลง ไมมีการปรับตัว
และแยกขาดจากศาสนาอื่นๆ ตํ่าตอย ไมมีอารยธรรม เต็มไปดวยความรุนแรงและกดขี่ทางเพศ
รวมทั้งเชื่อวาการมีอคติกับอิสลามนั้นเปนเรื่องธรรมชาติ
ในบางครั้งเราอาจจะตองพิจารณาใหมวาคนที่ถูกกระทําโดย racism นั้นไมใชเหยื่อของ
ระบบ หากแตเขาอาจจะตองคิดคนและสวมอัตลักษณบางอยางในการตอสู อาทิ ในกรณีของเพลงแรป
และการแตงตัว หรือในกรณีของไทยเราจะพบความเปลี่ยนแปลงในการตอสูของบรรดากะเหรี่ยงที่
เรียกตนเองวาปกาญอ หรือแมวเปนมง เปนตน โดยในประเด็นดังกลาวนี้กอรูปของอคติและการเลือก
ปฏิบัติทางสีผิวนั้นไมใชเรื่องของชีวภาพ (เชื้อชาติ) และวัฒนธรรมที่แตกตางจากกลุมอื่น (ชาติพันธุ)
แตเปนเรื่องกระบวนการที่ตอเนื่องและไมไดมีการกําหนดไวลวงหนาอยางตายตัว ซึ่งแตกตางกันไป
ตามกาลเทศะ ทั้งนี้แตละกลุมจะรวมตัวเองและใหคํานิยามตัวเองผานสี-กลุม และการตอสูของบรรดา
คนผิวสีที่จะมีที่ยืนและไดรับการยอมรับนั้นก็ไมควรถูกลดทอนลงเปนเรื่องของชนชั้น และทั้งนี้
ควรพิจารณาในเรื่องของการคลุมผาญิฮาบของผูหญิงมุสลิมในปจจุบันดวย
เรื่องที่นาสนใจประการตอมาคือแนวคิดที่เรียกวา Orientalism หรือการประกอบสราง
ความเปนตะวันออก ซึ่ง Said เสนอวา เปนเรื่องของกระบวนการสรางความเปนอื่นเพื่อใหเกิดตัว
ของเราขึ้น และเขาใจตัวเรา (อาทิ เรื่องของการบอกวาประเทศเรา หรือชาวไทยดีกวาคนอื่น หรือ
“ไมทํา”) อยางที่คนอื่นทํา ผานการเขียนถึง เลาเรื่องของคนอื่น สิ่งนี้สะทอนใหเห็นถึงความสัมพันธ
ทางอํานาจ ซึ่งทําใหโลกตะวันตกสามารถสถาปนาอํานาจตอโลกสวนอื่นๆ ไดตอไป โดยเฉพาะความเชื่อ