Page 231 - หนังสือเมืองลับแล(ง)
P. 231

เนื้อความที่ ๔


                 ในยามนั้นขุนพระญารามราชเจ้าก็เถิงยังพุทธาพินิหาร อันธาตุเจ้าองค์ฅำหมายมีพญาฟานฅำลับเสี้ยงใจ

                 ตายฝังไว้หว่างเขาฅำนั้น ก็สดับเถิงยังปาระมี  แห่งพญาตนวิเศษก็ลอยผุดขึ้นยังใจข่วง แลลอยเหินผัด

                 ขึ้นวันเหนือล่องใต้สามหน  แลลอยจมลงยังแม่แผ่นดิน  ขุนพระญารามเจ้าจึ่งมีใจแป๋งแต่งสร้างยังพิหาร
                 สายดือเวียงเป็น ไจยเวียง



                                                                               ุ
                       เป็นการกล่าวถึงพ่อขุนรามคำแหงได้สมผสถึงอภินิหาริย์ของพระธาตที่พญาฟานฅำฝังไว้ พระธาตนั้น
                                                      ั
                                                        ั
                                                                                                       ุ
                                                                                                      ่
               ได้ลอยขึ้นที่ “ใจข่วง” ไปทางทิศเหนือเวียนไปทางทิศใต้ (เป็นทักษิณาวัตร) สามรอบ แล้วลอยจมลงในแผนดน
                                                                                                        ิ
               พ่อขุนรามคำแหงจึงได้สร้าง “พิหารสายดือเวียง” หรือ วิหาร ขึ้นที่กลางเวียงเป็น “ไจยเวียง” คำว่า “ไจย”
               ภาษาไทยเหนือคือ “ไชย” หรือ “ชัยมงคล” อันเป็นคนละความหมายกับ “ใจ”


               เนื้อความที่ ๕


                 กาละล่วงไปเถิงยังตนขุนองค์ฅำลือไธย  ตนเป็นใหญ่ในโลกหล้า แลยกเวียงสระขึ้นกับเวียงชะเลียง  แล้ว

                 จึ่งได้ผาถะนา  ยังพระศาสนาองค์พุทธเจ้าน้อมนำเอากระดูกเจ้าธาตุฅำลุกมาแต่ในเวียงไธย จึ่งได้มาแป๋ง
                 แต่งสร้างยังองค์พระธาตุเจ้าเจติยา ตั้งอารามพิหารใหญ่กว้าง บนม่อนป่าแก้วดอยงาม ชื่อว่า เจติยะ

                 พิหารอารามคีรีเขต  แลฟื้นวัดห่างร้างฝูง ทำนุพระศาสนา ชาวพารามล่มใต้ มีสุขสันต์ค่ำเช้าเข้าฅืน ข้าว

                                                                                                    ็
                                                                                                     ี
                                                          ิ่
                                                                                                 ้
                 กล้าในนาบัวริบูรพรั่งพร้อม หมากป้าวจาวตาลกงก้อมดกดาด ฝูงสัตว์ตัวกาจตัวหนา ฝูงช้างมากมมาก
                 นัก นั่นแล

                                                                                                ิ
                                                                              ้
                       ซึ่ง “ขุนองค์ฅำลือไธย” เป็นข้อความในฉบบที่ ๒ ส่วนฉบับที่ ๑ ไดเขียนว่า “ขุนองค์ฅำลไธย” คำว่า
                                                          ั
               “ลือไธย” คงมาจาก “ฦๅไทย” อันเป็นพระนามของพระมหาธรรมราชาธิราช ที่ ๑ (ครองเมืองสุโขทัยเมื่อ พ.ศ.
               ๑๘๙๐ – ๑๙๑๒) ส่วนคำว่า “ลิไธย” เป็นพระนามที่แผลงจากภาษาบาลีว่า “ลิเทยฺย” จึงอ่านว่า ลิไทย ไดยก
                                                                                                       ้
               “เวียงสระ(ลวง)” ขึ้นกับ “เวียงชะเลียง” คือ เมืองศรีสัชนาลัย ได้มีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาจึงนำเอา

                                                             ิ
               พระธาตุมาประดิษฐานสร้างเป็น “องค์พระธาตเจ้าเจตยา ตั้งอารามพิหารใหญ่กว้าง บนม่อนป่าแก้วดอยงาม
                                                       ุ
               ชื่อว่า เจติยะพิหารอารามคีรีเขต” สอดคล้องกับศิลาจารึกหลักที่ ๓๑๙ จารึกเจดีย์พิหาร ที่ขุดได้ที่หน้าวิหารวัด
               เจดีย์คีรีวิหาร ตำบลนาโป่ง (ปัจจุบันเป็นตำบลฝายหลวง) อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ แลวมหาอำมาตย์ตรี
                                                                                           ้
                                                12
               พระยานครพระราม (สวัสดิ์  มหากายี)   เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๓  (ในสมัยรัชกาลที่ ๗) สภาพหัก



                       12  พระยานครพระราม  (สวัสดิ์  มหากายี) ดำรงดำแหน่งผู้วาราชการจังหวดพิษณุโลกคนที่ ๓ ในทินนาม “พระยา
                                                                             ั
                                                                  ่
               พิษณุโลกบุรี” เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗ – ๒๔๕๘ และย้ายมาดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์คนที่ ๖ ในทินนามเดิม
                                             การวิเคราะห์วรรณกรรมเมืองลับแล
                                                        หน้า ๘๑
   226   227   228   229   230   231   232   233   234   235   236