Page 128 - 2557 เล่ม 1
P. 128

๑๒๘



               ค าสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม จึงเป็น
               ดุลพินิจที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว

                                        ______________________



                      คดีทั้งสองสํานวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้
               เรียกโจทก์ทั้งสองสํานวนว่า โจทก์ เรียกจําเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ในสํานวนแรกว่า

               จําเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ตามลําดับ และเรียกจําเลยในสํานวนหลังว่า จําเลยที่ ๔

                      โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจําเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา
               มาตรา ๑๕๗, ๘๓, ๙๑

                      ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง

                      จําเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
                      ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

                      โจทก์ทั้งสองสํานวนอุทธรณ์

                      ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษายืน
                      โจทก์ทั้งสองสํานวนฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อ

               ในคําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๗ อนุญาตให้ฎีกา

                      ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟงงเป็นยุติว่า โจทก์รับราชการในตําแหน่ง
               ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ระดับ ๘ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏ

               กาญจนบุรี จําเลยที่ ๑ ดํารงตําแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัย จําเลยที่ ๒ ดํารง

               ตําแหน่งกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ จําเลยที่ ๓ ดํารงตําแหน่ง
               กรรมการสภามหาวิทยาลัยโดยตําแหน่ง จําเลยที่ ๔ ดํารงตําแหน่งอธิการบดี

               มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี โดยจําเลยที่ ๔ มีคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหา

               คณบดี มีจําเลยที่ ๒ เป็นประธานกรรมการ จําเลยที่ ๓ เป็นกรรมการและ
               เลขานุการ คณะกรรมการสรรหาเสนอชื่อโจทก์และนายศุภกิจ เป็นบุคคลที่มี

               ความเหมาะสมในการดํารงตําแหน่งคณบดีคณะวิทยาการจัดการ

               ให้สภามหาวิทยาลัยพิจารณา ซึ่งในการประชุมสภามหาวิทยาลัยครั้งที่ ๒/๒๕๔๘
               ที่ประชุม เห็นว่าโจทก์และนายศุภกิจยังไม่สามารถทําให้เกิดความเชื่อมั่นได้ว่า
   123   124   125   126   127   128   129   130   131   132   133