Page 139 - 2557 เล่ม 1
P. 139
๑๓๙
จําเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จําเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ
พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคสาม (๒), ๖๖ วรรคสอง จําคุก ๕ ปี และปรับ ๔๐๐,๐๐๐ บาท
ไม่ชําระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ หากต้องกักขังแทน
ค่าปรับให้กักขังเกินกว่า ๑ ปี แต่ไม่เกิน ๒ ปี ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จําเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า คําให้การชั้นจับกุม
คําให้การรับสารภาพชั้นสอบสวน และทางนําสืบของจําเลย เป็นประโยชน์
แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจําคุก ๓ ปี ๔ เดือน และปรับ ๒๖๖,๖๖๖.๖๖ บาท
นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคําพิพากษาศาลชั้นต้น
จําเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดจึงอยู่ในบังคับ
ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.๒๕๕๐ ซึ่งมาตรา ๑๘ วรรคหนึ่ง
บัญญัติว่า “ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาหรือมีคําสั่งโดยมิชักช้า และภายใต้
บังคับแห่งบทบัญญัติ มาตรา ๑๖ และมาตรา ๑๙ คําพิพากษาหรือคําสั่ง
ของศาลอุทธรณ์เฉพาะการกระทําซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้เป็นที่สุด”
และมาตรา ๑๙ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาหรือมีคําสั่ง
ในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามมาตรา ๑๘ วรรคหนึ่ง แล้วคู่ความอาจ
ยื่นคําขอโดยทําเป็นคําร้องไปพร้อมกับฎีกาต่อศาลฎีกาภายในกําหนดหนึ่งเดือน
นับแต่วันอ่าน หรือถือว่าได้อ่านคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลนั้นให้คู่ความ
ฝ่ายที่ขออนุญาตฎีกาฟงง เพื่อขอให้พิจารณารับฎีกาไว้วินิจฉัยก็ได้” ปรากฏว่า
ในการยื่นฎีกาต่อศาลชั้นต้น จําเลยได้ยื่นคําร้องฉบับลงวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๖
ขอให้ศาลฎีกาอนุญาตให้ฎีกาพร้อมฎีกา แต่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นมีคําสั่งว่า
รวมและมีคําสั่งรับฎีกาจําเลย จึงเป็นการไม่ชอบ อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกา