Page 155 - สนง.ศาลภาค 2 กฎหมาย ระเบียบ และบทความที่เกี่ยวกับการค้ามนุษย์ เล่ม 2
P. 155
5
ถูกประเทศเพื่อนบ้านจับกุมแล้วประมาณ 3,025 ลํา และมีลูกเรือถูกจับกุมไปทั้งสิ้นประมาณ 28,263 คน
นับเป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจจํานวนมหาศาล โดยเฉพาะในส่วนมูลค่าเรือ เครื่องมือประมง และ
อุปกรณ์ นอกจากนี้ยังเป็นความสูญเสียที่ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ในเรื่องของทรัพยากรบุคคล
ทั้งลูกเรือไต้ก๋งและช่างที่มีความสามารถ นอกจากนี้จากการประกาศเขตเศรษฐกิจจําเพาะส่งผลทําให้
ชาวประมงซึ่งเคยทําการประมงอยู่ในบริเวณเหล่านั้นต้องถูกผลักดันให้กลับเข้ามาทําการประมง
ในน่านน้ําของประเทศไทย ทําให้เกิดการแข่งขันทําการประมงกับชาวประมงซึ่งทําการประมงอยู่แต่เดิม
ในเขตน่านน้ําไทย จึงทําให้ทรัพยากรประมงทะเลลดจํานวนลงอย่างมาก
ในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าการประมงนอกน่านน้ําไทยมีความสําคัญอย่างยิ่ง
ต่ออุตสาหกรรมการประมงและต่อเศรษฐกิจของประเทศด้วย เพื่อช่วยแก้ปัญหารัฐบาลและภาคเอกชน
ที่เกี่ยวข้องได้พยายามหาแนวทางในการเจรจาเพื่อร่วมลงทุนทําการประมงกับต่างประเทศ ซึ่งการ
ร่วมทําการประมงกับต่างประเทศนั้นจําเป็นต้องอาศัยหลักการแบ่งปันผลประโยชน์โดยความเป็นธรรม
มีความซื่อสัตย์ต่อกัน และจะต้องเคารพต่อกฎกติกาและพันธะกรณี ข้อตกลง ตามสัญญาในการ
ทําประมงกับประเทศต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด อีกทั้งต้องพัฒนากองเรือประมง อุปกรณ์การเดินเรือ
เครื่องสื่อสาร และเครื่องมือทําการประมงจะต้องได้มาตรฐานถูกต้องตามหลักสากล ซึ่งในปัจจุบัน
ประเทศไทยมีเรือประมงที่มีศักยภาพออกไปทําการประมงในน่านน้ําของต่างประเทศได้ คือ เรือขนาดกลาง
ถึงขนาดใหญ่ (ขนาด 18 วา หรือ 70 ตันกรอสขึ้นไป) ประมาณ 3,500-4,000 ลํา
11
2.3 นโยบายการประมงแห่งชาติ
อุตสาหกรรมการประมงทะเลมีความสําคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งในปัจจุบันอุตสาหกรรม
ประมงทะเลของไทยต้องประสบปัญหาต่าง ๆ ได้แก่ ปัญหาชาวประมงไทยถูกประเทศเพื่อนบ้านจับกุม
เพราะเข้าไปทําการประมงอย่างไม่ถูกต้อง ปัญหาเขตเศรษฐกิจจําเพาะของประเทศเพื่อนบ้าน ปัญหา
การเพิ่มขึ้นของเรือประมง ซึ่งปัญหาต่าง ๆ นํามาซึ่งความเดือดร้อน ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
ของชาวประมงไทย และนํามาซึ่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโดยส่วนรวมของประเทศ ซึ่งกรมประมงได้เสนอ
แนวทางแก้ไขปัญหา คือ จําเป็นที่จะต้องกําหนดนโยบายการประมงที่ชัดเจนและจะต้องมีการปรับปรุง
โครงสร้างองค์กรของรัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการประมงใหม่ เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ
ในการจัดการและบริหารการประมงของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีระเบียบ โดยเห็นควรให้ตั้ง
คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติขึ้น เพื่อทําหน้าที่กําหนดนโยบายประมงแห่งชาติ ควบคุม
ดูแลแก้ไขปัญหาการประมงที่อาจจะเกิดขึ้น โดยในสมัยรัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2534 แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายการประมง
แห่งชาติ ประกอบด้วย กรรมการ จํานวน 38 คน จากภาครัฐบาล จํานวน 33 คน และภาคเอกชน
จํานวน 5 คน มีหน้าที่รับผิดชอบในการกําหนด นโยบายการพัฒนาการประมงในน่านน้ําไทยให้สอดคล้อง
11 อ้างแล้วใน ธีรวัฒน์ ไม้สุวรรณกุล. หน้า 27-28.