Page 180 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 180

๑๖๗


                                                         5
                                                                                    ิ
                          ิ
                 กรณีศาลพพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษประหารชีวิต  การออกค าสั่งปรับกรณีศาลพพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษ
                 ปรับ เหล่านี้เป็นต้น
                         ๑.๒ หลักไม่มีโทษโดยไม่มีกฎหมาย

                         การบังคับใช้กฎหมายอาญานั้น นอกจากขอบเขตในเรื่องสถานที่ตามหลักดินแดนและหลักเกณฑ์
                                                                 ี
                 เกี่ยวกับบุคคลตามที่กฎหมายก าหนดแล้ว หลักส าคัญอกประการหนึ่งที่จะคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของ
                 ประชาชนก็คือ หลักไม่มีความผิดและไม่มีโทษโดยไม่มีกฎหมาย ซึ่งมาจากภาษิตที่ว่า Nullum crimen,

                 nulla poena, sine lege หรือเรียกโดยย่อ ๆ ว่า หลักไม่มีโทษโดยไม่มีกฎหมาย Nulla poena, sine
                                                                                   ั
                 lege (no punishment without law) ซึ่งนักคิดและนักนิติศาสตร์ในยุโรปได้พฒนาค าสอนทางกฎหมาย
                                                                                                      ้
                 ขึ้นมาเพื่อรับรองศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์โดยถือว่ารัฐ หรือผู้มีอ านาจจะจับกุมลงโทษประชาชนโดยอาง
                 ว่าเขาเหล่านั้นท าผิดอย่างลอย ๆ โดยปราศจากข้อจ ากัดไม่ได้ ถือว่าประชาชนจะต้องได้รับโทษก็แต่เฉพาะ

                 กรณีที่ตนได้กระท าการอันกฎหมายก าหนดว่าเป็นความผิด และก าหนดโทษไว้โดยชัดแจ้งเท่านั้น จึงเท่ากับ

                 เป็นการป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อานาจจนเกินขอบเขต ซึ่งถือได้ว่าเป็นความส าเร็จประการหนึ่งของ

                 กฎหมายสมัยใหม่เกี่ยวกับความคิดทางกฎหมาย ปัจจุบันประเทศต่าง ๆ ยอมรับหลักกฎหมายนี้มาใช้ และ

                                                                          6
                 มีการรับรองหลักดังกล่าวในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนอีกด้วย
                         ส าหรับประเทศไทยได้บัญญัติหลักกฎหมายนี้ไว้ในประมวลกฎหมายอาญาว่า บุคคลจักต้องรับ
                 โทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระท าการอนกฎหมายที่ใช้ในขณะกระท านั้นบัญญัติเป็นความผิดและก าหนด
                                                  ั
                                                                                    7
                 โทษไว้ และโทษที่จะลงแก่ผู้กระท าความผิดนั้นต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย
                         หากจะกล่าวถึงเฉพาะบรรดาโทษในระบบกฎหมายนั้น โทษทางอาญา ถือได้ว่าเป็นโทษที่ส่งผล

                 กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับโทษทางแพง โทษทางปกครอง หรือ
                                                                                   ่
                 โทษทางการเมือง ทั้งนี้ เพราะโทษประหารชีวิต จ าคุก หรือการกักขัง นั้น เป็นโทษทางอาญาที่มุ่งกระท าต่อ
                 เนื้อตัวร่างกายของผู้กระท าความผิด ส่วนโทษปรับ และริบทรัพย์สิน เป็นโทษที่มุ่งประสงค์ในทางทรัพย์สิน


                 ของผู้กระท าความผิด ซึ่งรัฐธรรมนูญวางหลักการเกี่ยวกับการก าหนดโทษในทางอาญาไว้ว่า “รัฐพึงกาหนด
                                                    ื่
                 โทษทางอาญาเฉพาะความผิดร้ายแรง” เพอใช้เป็นกรอบในการก าหนดโทษทางอาญาในการตรากฎหมาย

                        5  คณิต ณ นคร, “การบังคับคดีอาญากรณีศาลลงโทษปรับ” นิติธรรมอ าพรางในนิติศาสตร์ไทย (หนังสือรวม

                 บทความ), พิมพ์ครั้งที่ ๑, (กรุงเทพมหานคร : ส านักพมพ์วิญญูชน, ๒๕๔๘), หน้า ๕๗.
                                                       ิ
                        6  ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ซึ่งประกาศใช้โดยสมัชชาแห่งสหประชาชาติ ในปี ค.ศ. ๑๙๔๘ มาตรา

                 ๑๑ อนุมาตรา ๒ บัญญัติว่า การจะถือว่าบุคลใดมีความผิดทางอาญา เนื่องจากได้กระท าการหรือละเว้นกระท าการใด ๆ
                 ซึ่งกฎหมายของประเทศนั้นหรือกฎหมายระหว่างประเทศในขณะที่มีการกระท านั้นมิได้ระบุว่าเป็นความผิดทางอาญามิได้
                 และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่าโทษที่ใช้อยู่ในขณะที่กระท าความผิดทางอาญานั้นเกิดขึ้นมิได้ (no one shall be

                 held guilty of any penal offence on account of any act omission which did not constitute a penal
                 offence, under national or international law, at the time when it was committed. Nor shall a heavier
                 penalty be imposed than the one that was applicable at the penal offence was committed”).

                 7  ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒.
   175   176   177   178   179   180   181   182   183   184   185