Page 80 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 80
๖๗
7. ในส่วนของการทํางานบริการสังคมและสาธารณประโยชน์นั้น ศาลต้องมีการประสานความ
ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พนักงานคุมประพฤติ กรมคุมประพฤติในพนที่ กรมป่าไม้
ื้
ั
ื้
ุ
ื
กรมอทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพนธุ์พชในพนที่นั้นๆ หรือชุมชน เพอให้เข้าใจจุดมุ่งหมายของศาลในการ
ื่
คุมความประพฤติ โดยแนะนําให้มีการจัดกิจกรรมบริการสังคมที่เหมาะสมกับความร้ายแรงของการกระทํา
ความผิดตามหลัก Just Desert เช่น หากผู้กระทําความผิดบุกรุกบริเวณใดที่ทําให้ป่าเสียหายก็ควรที่จะจัด
ื่
ให้ไปทําการแก้ไขปลูกป่าในส่วนนั้น ซึ่งทําให้ผู้กระทําความผิดได้ทําการแก้ไขในสิ่งที่ผิด และเพอป้องกัน
ไม่ให้มีบุคคลอื่นเข้าไปทําผิดซ้ําอีก นอกจากนี้ศาลควรประสานและร่วมมือกับพนักงานคุมประพฤติสร้างแนว
ทางการจัดหางานบริการสังคมฯที่จะให้ผู้กระทําความผิดทําว่าจะต้องเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม โดย
ควรเชื่อมโยงกับเรื่องการคุ้มครอง แก้ไขปัญหาและการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศ
ู
รวมถึงการฟนฟชีวิต ร่างกาย สุขภาพ และทรัพย์สินของผู้ที่ได้รับผลกระทบ มิใช่มีรูปแบบในการทํางาน
ื้
ี่
สังคมฯ แบบเดิมที่ใช้ได้กับทุกคดี โดยอาจให้ชุมชนบริเวณทได้รับความเสียหายเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ
บริเวณดังกล่าวเข้ามามีส่วนร่วมด้วยอันมีลักษณะเป็นการแก้ไขในเชิงสมานฉันท์ เช่น การปลูกต้นไม้ ป้องกัน
ไฟ สร้างฝายหรือดูแลต้นน้ําลําธารเป็นต้น หรืองานที่เหมาะสมกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดความ
เสียหายเพื่อให้ผู้กระทําความผิดมีทัศนคติและจิตสํานึกที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน
8. กรณีที่เจ้าหน้าที่ที่ดูแลสถานที่ที่ให้ผู้กระทําความผิดไปทํางานบริการสังคมและสาธารณประโยชน์
เกิดความกลัวเนื่องจากเคยเป็นผู้กระทําความผิดทางอาญามาก่อนนั้น ศาลควรเป็นหน่วยงานกลางในการ
ประสานสร้างความเข้าใจแก่เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานนั้นว่า แม้ผู้ที่ศาลสั่งให้ไปทํางานบริการสังคมฯ จะเคย
กระทําความผิดมาก่อน แต่หากสังคมสามารถช่วยเหลือหรือดูแลบุคคลนั้นก็จะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจ
ั
ให้แก่ผู้กระทําความผิดว่าแม้ตนจะเคยทําผิดมาก่อนแต่สังคมยังให้โอกาสในการแก้ไขกลับตัวอนจะทําให้
ั
บุคคลนั้นจะไม่กระทําความผิดอก ซึ่งจะดีกว่าการรังเกียจผู้กระทําความผิดอนนําไปสู่การสร้างบาดแผลทาง
ี
ื่
ใจให้แก่ผู้กระทําความผิดจนไม่สามารถแกไขหรือสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้กระทําความผิดเพอไม่ให้กระทํา
้
ความผิดอก ซึ่งการให้ผู้กระทําความผิดไปทํางานบริการสังคมฯ นอกจากเป็นวิธีการในเชิงลงโทษแล้วในอีก
ี
มุมหนึ่งวิธีการดังกล่าวยังเป็นมาตรการทางสังคมที่สามารถช่วยให้ผู้กระทําความผิดอยากเปลี่ยนแปลง
พฤติการณ์ไม่ไปกระทําความผิดอีกซงอาจเป็นวิธีที่ดีกว่าจะลงโทษจําคุกอันเป็นการสร้างตราบาปแก่ผู้กระทํา
ึ่
ความผิด