Page 914 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 914

๙๐๒




                               ๔.๒ ทฤษฎีการลงโทษเพื่อข่มขู่ยับยั้ง (Deterrence Theory) ทฤษฎีนี้เชื่อว่าการลงโทษ
                                        ื่
                 ผู้กระท าความผิดให้บุคคลอนเห็นเป็นตัวอย่าง สามารถยับยั้งหรือข่มขู่ผู้กระท าความผิดและบุคคลอนให้
                                                                                                     ื่
                 เกิดความเกรงกลัวไม่กล้ากระท าความผิด เนื่องจากเกรงว่าจะได้รับโทษ ดังนั้น การลงโทษผู้กระท าความผิด
                                                                                                       ี
                                                          ื่
                 จึงมีวัตถุประสงค์สองประการคือ ประการแรกเพอยับยั้งหรือข่มขู่ผู้กระท าความผิดมิให้กระท าผิดซ้ าอก
                 เพราะเกรงกลัวว่าจะได้รับโทษเช่นเดียวกับที่ตนเคยได้รับมาแล้ว อนเป็นผลให้ตัดโอกาสที่จะกระท าผิดขึ้น
                                                                        ั
                 อก (Incapacitation) และประการที่สองเพอยับยั้งหรือข่มขู่ผู้อนมิให้กระท าความผิดเนื่องจากเกรงว่าจะ
                                                     ื่
                                                                      ื่
                  ี
                 ได้รับโทษเช่นเดียวกับผู้กระท าความผิด อย่างไรก็ดี การลงโทษเพื่อการข่มขู่ยับยั้งมิให้มีการกระท าความผิด
                 ซ้ าที่มีประสิทธิภาพควรมีลักษณะ ๓ ประการ คือ ๑) การลงโทษต้องท าด้วยความรวดเร็ว ๒) ต้องมีความ
                                                                                ี
                 แน่นอนในการลงโทษ ไม่มีการยกเว้น ๓) การลงโทษต้องมีความรุนแรงเพยงพอ (ผลร้ายที่เกิดจากการ
                 ลงโทษผู้กระท าความผิดต้องมากกว่าผลดีที่ผู้กระท าความผิดได้รับ)

                                 ๔.๓ ทฤษฎีการลงโทษเพื่อการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระท าความผิด(Rehabilitation Theory)
                                                               ื่
                                                                         ู
                                                                      ื้
                 ทฤษฎีนี้มีวัตถุประสงค์ในการลงโทษผู้กระท าความผิดเพอแก้ไขฟนฟผู้กระท าความผิด ให้กลับตัวเป็นคนดี
                 ของสังคม เพื่อไม่ให้ผู้กระท าผิดกลับมากระท าผิดซ้ า รวมทั้งการพยายามช่วยให้ผู้กระท าผิดกลับคืนสู่สังคม
                 ได้ตามปกติ จึงต้องมีการให้การเรียนรู้ การอบรม การฝึกอาชีพให้เพยงพอที่เขาจะใช้ในการด าเนินชีวิตได้
                                                                         ี
                 รวมทั้งการพยายามช่วยให้ผู้กระท าผิดไม่รู้สึกมีปมด้อยจากการที่ได้รับการลงโทษไปแล้ว โดยวิธีการใน
                                                                                           ๑๒
                 การลงโทษตามทฤษฎีนี้ต้องเริ่มจากการหาสาเหตุของการกระท าความผิด หลังจากนั้นจึงหามาตรการใน
                 การแก้ไขให้เหมาะสมกับผู้กระท าความผิด โดยหลักการลงโทษมีหลายประการเช่น การหลีกเลี่ยงการ

                 ลงโทษจ าคุกระยะสั้น เพราะการจ าคุกระยะสั้นนอกจากจะไม่สามารถแกไขผู้กระท าผิดให้กลับตัวเป็นคนดี
                                                                             ้
                 ได้แล้ว ยังส่งผลเสียต่อผู้กระท าความผิดด้วย เนื่องจากผู้กระท าผิดอาจเข้าไปเรียนรู้วิชาการก่ออาชญากรรม

                 จากเรือนจ าและอาจท าลายคุณลักษณะประจ าตัวของเขาได้ การลงโทษต้องเหมาะสมกับการกระท าผิดเป็น

                 รายบุคคล อาจใช้วิธีการกักขัง หรือการรอการลงโทษ หรือการคุมประพฤติ เป็นต้น นอกจากนั้น ระยะเวลา
                                                             ื้
                                                                ู
                 ในการลงโทษต้องขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ให้การแก้ไขฟนฟผู้กระท าผิด ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของการ
                 กระท าความผิด และเมื่อผู้กระท าความผิดสามารถกลับตนเป็นคนดีได้แล้วให้หยุดการลงโทษ เพราะไม่มี

                                      ี
                 ประโยชน์ในการลงโทษอกต่อไป โดยผู้กระท าความผิดที่สามารถกลับตนเป็นคนดีแล้วควรมีการปรับปรุง
                 การลงโทษ เช่น การพักการลงโทษ (Parole)
                                                     ๑๓
                        ๕. การใช้ดุลพินิจของศาลในการลงโทษ

                            ๕.๑ พิจารณาจากอัตราโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย
                                  การบัญญัติอัตราโทษในฐานความผิดต่างๆ ของกฎหมายอาญา เพื่อเป็นกรอบให้ศาลใช้

                 ดุลยพินิจในการก าหนดโทษนั้น ฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งเป็นผู้ร่างกฎหมายได้ใช้แนวคิด ๒ ระบบ คือ


                        ๑๒  ณัฐฐ์วัฒน์  สุทธิโยธิน. ทฤษฎีการลงโทษ, หน้า ๔. https://www.stou.ac.th/schools/slw/upload/

                 ๔๑๗๑๖_๖.pdf.
                        ๑๓  เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๘.
   909   910   911   912   913   914   915   916   917   918   919