Page 78 - นิตยสารดุลพาห เล่มที่ ๒-๒๕๖๑-กฎหมาย
P. 78
ดุลพาห
๓. กฎหมายกับข้อบังคับ
ประเทศไทยเคยเดินทางผิดโดยการเลือกใช้กฎหมายอังกฤษเป็นต้นแบบในการตรา
พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๓๐ และใช้เวลายาวนานมาก คือสิบห้าปีก่อนที่จะ
หันกลับมาใช้กฎหมายต้นแบบของสหประชาชาติ เพื่อตราพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ
พ.ศ. ๒๕๔๕
สิ่งที่ประเทศไทยควรทำาก็คือ กำาหนดให้เรื่องการอนุญาโตตุลาการเป็นเรื่องสำาคัญ
ที่จำาเป็นต้องได้รับการพัฒนาต่อเนื่อง เพราะเป็นปัจจัยสำาคัญในการให้บริการอนุญาโตตุลาการ
ซึ่งจะนำารายได้เข้าประเทศ โดยอาจให้หน่วยงานเกี่ยวกับการปฏิรูปกฎหมายเป็นผู้ช่วย
เฝ้าระวังและดำาเนินการโดยมีสำานักงานบริหารคดีอนุญาโตตุลาการต่างๆ ในประเทศไทยเป็น
ผู้ช่วยดำาเนินการและให้คำาปรึกษาเรื่องที่ต้องดำาเนินการ มีทั้งตัวกฎหมายหลักและกฎหมาย
ที่เกี่ยวข้อง เช่น การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาทำางานเกี่ยวกับการดำาเนินคดีอนุญาโตตุลาการ
การสร้างอุปสรรคต่อการทำางานของคนต่างชาติในเรื่องนี้กลับเป็นเหตุชักนำาให้คดีถูกนำาไป
ดำาเนินในต่างประเทศ ซึ่งพลอยทำาประเทศเสียรายได้อย่างอื่นๆ ไปด้วย เช่น ค่าที่พัก ค่าห้อง
ประชุม ค่าบริการของทนายความ ตลอดจนค่าบริการอื่นๆ อันเกี่ยวกับการดำาเนินคดี
วิธีพัฒนากฎหมายและข้อบังคับของประเทศไทยนั้น เราอาจใช้วิธีลอกเลียนแบบ
ทั้งตัวกฎหมายข้อบังคับ และวิธีพัฒนาต่างๆ จากการพัฒนากระบวนการอนุญาโตตุลาการ
ของประเทศสิงคโปร์ ทั้งนี้ประเทศสิงคโปร์จะใช้หน่วยงานปฏิรูปกฎหมายเป็นตัวหลัก และ
ให้กระทรวงยุติธรรม คณะนิติศาสตร์ต่างๆ ตลอดจนสภาทนายความมีบทบาทในการแสดง
ความคิดเห็นเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อสรุปของการพัฒนา สำาหรับประเทศไทยนั้น ในขณะนี้เรามีทั้ง
สำานักงานศาลยุติธรรมและกระทรวงยุติธรรมที่ทำางานเรื่องเหล่านี้ ทางที่ดีก็คือให้หน่วยงาน
ทั้งสองร่วมมือกัน และหากเป็นไปได้ควรยุบหน่วยงานทั้งสองเข้าด้วยกันแต่ต้องเป็นอิสระจาก
รัฐบาลพอสมควร
ในด้านทิศทางการพัฒนากฎหมายนั้น ควรใช้วิธีเปรียบเทียบกฎหมายเพื่อดูว่า
กฎหมายกับข้อบังคับของประเทศใด สถาบันใดดีที่สุดแล้วพิจารณาว่าประเทศไทยจะรับ
เรื่องใดไว้ได้บ้างในขณะนั้น ต้องเข้าใจด้วยว่ามีการแข่งขันกันในประเทศที่ให้บริการการ
อนุญาโตตุลาการกฎหมายกับข้อบังคับจึงต้องพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยเนื้อแท้ของเรื่องแล้ว
ข้อบังคับต้องพัฒนาเร็ว ส่วนกฎหมายนั้นใช้วางกรอบกว้างๆ ไม่จำากัดรัดแคบ ปล่อยให้การ
พฤษภาคม - สิงหาคม ๒๕๖๑ 67