Page 229 - ดุลพาห เล่ม3.indd
P. 229
ดุลพาห
ฎีกาที่น่าสนใจ
เผ่าพันธ์ ชอบน้ำาตาล*
โทษปรับเป็นโทษในทางทรัพย์สิน ปัจจุบันศาลมีอำานาจพิพากษาให้รอการลงโทษ
ปรับได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ แต่ถ้าศาลพิพากษาลงโทษปรับโดยไม่รอการ
ลงโทษ หากผู้ต้องโทษปรับไม่ชำาระค่าปรับภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลพิพากษาอาจถูก
บังคับโทษปรับโดยจะต้องถูกยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินเพื่อใช้ค่าปรับ
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ ซึ่งมีหลักเกณฑ์และวิธีการตามมาตรา ๒๙/๑ หรือ
จะต้องถูกกักขังแทนค่าปรับซึ่งมีหลักเกณฑ์ตามมาตรา ๓๐ หรือหากผู้ต้องโทษปรับไม่ใช่
นิติบุคคล ศาลอาจมีคำาสั่งให้ผู้ต้องโทษปรับทำางานบริการสังคมหรือทำางานสาธารณประโยชน์
แทนค่าปรับก็ได้ตามหลักเกณฑ์ในมาตรา ๓๐/๑ ไม่ว่าค่าปรับตามคำาพิพากษาเป็นเงินจำานวน
เท่าใดก็ตาม แต่ถ้ามีกฎหมายเฉพาะบัญญัติวิธีบังคับโทษปรับไว้เป็นอย่างอื่น ก็ไม่อาจนำาวิธี
บังคับโทษปรับตามประมวลกฎหมายอาญาซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ
การบังคับโทษปรับในกรณีเด็กและเยาวชนต้องโทษปรับและไม่ชำาระค่าปรับ
พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พ.ศ. ๒๕๕๓ บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะแล้ว จึงไม่อาจใช้วิธียึดหรืออายัดทรัพย์สินเพื่อใช้ค่าปรับ
หรือกักขังแทนค่าปรับในการบังคับโทษปรับแก่เด็กและเยาวชน
คำาพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๘๓๓/๒๕๖๑
พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๔๕ เป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อใช้กับเด็กหรือเยาวชนที่ต้อง
โทษปรับไม่ว่าจะมีโทษจำาคุกด้วยหรือไม่ก็ตาม โดยบัญญัติไว้ชัดแจ้งว่า ถ้าเด็กหรือเยาวชน
ไม่ชำาระค่าปรับ ห้ามมิให้ศาลสั่งกักขังเด็กหรือเยาวชนแทนค่าปรับ แต่ให้ศาลส่งตัวไปควบคุม
เพื่อฝึกอบรมตามเวลาที่ศาลกำาหนดแต่ต้องไม่เกินหนึ่งปี ซึ่งเท่ากับว่าเจตนารมณ์ของมาตรา
* ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดบุรีรัมย์.
218 เล่มที่ ๓ ปีที่ ๖๕