Page 234 - ดุลพาห เล่ม3.indd
P. 234
ดุลพาห
คำาพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๗๘๘/๒๕๕๙
การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษปรับจำาเลยที่ ๑ หมายความว่าจำาเลยที่ ๑ ผู้ต้อง
คำาพิพากษาศาลอุทธรณ์จะต้องนำาค่าปรับมาชำาระ หากจำาเลยที่ ๑ ไม่ชำาระค่าปรับแล้ว จำาเลย
ที่ ๑ ต้องถูกยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับ หรือมิฉะนั้นต้องถูกกักขังแทนค่าปรับตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา ๒๙ วรรคหนึ่ง เดิม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่จำาเลยที่ ๑ ยื่นคำาร้อง
วิธีการยึดทรัพย์ใช้ค่าปรับหรือการกักขังแทนค่าปรับดังกล่าวเป็นวิธีที่จะกระทำาเพื่อเป็นการ
ชดใช้ค่าปรับซึ่งเป็นการบังคับคดีตามคำาพิพากษาเท่านั้น เมื่อจำาเลยที่ ๑ ไม่นำาค่าปรับมาชำาระ
ตามคำาพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว แม้จำาเลยที่ ๑ ต้องถูกกักขังแทนค่าปรับและในที่สุดศาลฎีกา
พิพากษายกฟ้องจำาเลยที่ ๑ ก็ไม่มีเหตุที่ต้องจ่ายเงินค่าปรับที่จำาเลยที่ ๑ ต้องถูกกักขังแทน
ค่าปรับคืนให้แก่จำาเลยที่ ๑ ทั้งกรณีไม่อาจนำาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔
มาใช้บังคับกับคดีนี้ซึ่งเป็นคดีอาญาได้
พระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษที่บัญญัติพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัว
ผู้ต้องกักขัง ซึ่งเป็นผลให้ผู้ต้องกักขังแทนค่าปรับได้รับการปล่อยตัวไม่ต้องถูกกักขังแทน
ค่าปรับต่อไป แต่เมื่อโทษปรับยังคงอยู่ จึงอาจบังคับโทษปรับโดยวิธียึดหรืออายัดทรัพย์สินใช้
ค่าปรับที่ยังไม่ถูกบังคับ
คำาพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๖๑๐/๒๕๖๐
แม้ระหว่างที่จำาเลยต้องกักขังแทนค่าปรับได้มีพระราชกฤษฎีกาพระราชทาน
อภัยโทษ พ.ศ. ๒๕๕๙ ใช้บังคับ ซึ่งมาตรา ๕ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ผู้ต้องโทษดังต่อไปนี้ ให้ได้
รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัวไป (๑) ผู้ต้องกักขัง...” มีผลให้ผู้ต้องกักขังได้รับพระราชทาน
อภัยโทษปล่อยตัวไปไม่ต้องถูกกักขังแทนค่าปรับต่อไป แต่หาได้บัญญัติให้ผู้ต้องโทษปรับ
พ้นจากโทษปรับไม่ โทษปรับตามคำาพิพากษาของจำาเลยยังคงมีอยู่ เมื่อจำาเลยไม่ชำาระค่าปรับ
ศาลชั้นต้นย่อมมีอำานาจดำาเนินการบังคับคดีโดยใช้วิธียึดทรัพย์สินชดใช้ค่าปรับในส่วนที่ยัง
ไม่ถูกบังคับกักขังแทนค่าปรับ กรณีไม่มีเหตุที่จะคืนหลักประกันและยกเลิกหมายบังคับคดี
รวมทั้งคืนเงินที่ได้จากการบังคับคดีให้แก่จำาเลย
ความผิดหลายกรรมต่างกันซึ่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ กำาหนดเพดาน
ของโทษจำาคุกที่จะลงไว้ต้องไม่เกินที่กฎหมายกำาหนด แต่ไม่มีข้อจำากัดสำาหรับการลงโทษปรับ
กันยายน - ธันวาคม ๒๕๖๑ 223