Page 236 - ดุลพาห เล่ม3.indd
P. 236

ดุลพาห




               คำาพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๐๔๙/๒๕๕๑


                        แม้เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค ๒ วางโทษจำาคุกตลอดชีวิตแล้ว ย่อมไม่อาจเพิ่มโทษจำาคุก
               ได้อีกก็ตาม แต่ความผิดที่จำาเลยที่ ๑ กระทำาตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา

               ๖๖ วรรคสาม มีโทษจำาคุกและปรับ และตามมาตรา ๑๐๐/๑ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
               กำาหนดให้ศาลลงโทษจำาคุกและปรับด้วยเสมอ โดยคำานึงถึงการลงโทษในทางทรัพย์สินเพื่อ

               ป้องปรามการกระทำาความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ทั้งโทษปรับเป็นโทษสถานหนึ่งซึ่งศาล
               อุทธรณ์ภาค ๒ ก็ได้วางโทษจำาคุกจำาเลยที่ ๑ ตลอดชีวิต และปรับจำาเลยที่ ๑ ด้วยการเพิ่มโทษ

               ที่จะลงแก่จำาเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา ๙๗ จึงเพิ่มโทษปรับได้ ที่ศาล

               อุทธรณ์ภาค ๒ มิได้เพิ่มโทษจำาเลยที่ ๑ จึงเป็นการมิชอบ แต่โจทก์มิได้ฎีกา ศาลฎีกาย่อมไม่
               อาจเพิ่มโทษปรับได้เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำาเลยที่ ๑ อันเป็นการต้องห้าม

               ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๒ ประกอบด้วยมาตรา ๒๒๕


               คำาพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๔๐๖/๒๕๔๙


                        แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๙ กำาหนดแต่เพียงว่า

               เมื่อโจทก์ต้องการให้เพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบให้กล่าวมาในฟ้อง มิได้กำาหนดให้อ้างมาตรา
               ในกฎหมายที่ขอเพิ่มโทษไว้ดังเช่นการฟ้องคดีที่ต้องอ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการ

               กระทำาเช่นนั้นเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๖)
               ก็ตาม แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำาเลยทั้งสองฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท

               ๑ ไว้ในครอบครองเพื่อจำาหน่าย อันเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.
               ๒๕๒๒ และบรรยายมาในฟ้องเกี่ยวกับการขอเพิ่มโทษจำาเลยทั้งสองว่าจำาเลยทั้งสองเคยต้อง

               คำาพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำาคุกฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ ไว้ในครอบครองโดย
               ไม่ได้รับอนุญาต และพ้นโทษมาแล้วกลับมากระทำาความผิดในคดีนี้ภายในเวลา ๕ ปี นับแต่

               วันพ้นโทษ โดยมีคำาขอท้ายฟ้องเพียงว่าขอให้เพิ่มโทษจำาเลยทั้งสองตามกฎหมาย แต่คำาขอ
               ดังกล่าวเป็นกรณีที่อาจเพิ่มโทษได้กึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒

               มาตรา ๙๗ หรือเพิ่มโทษได้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๒ เมื่อคำาขอท้าย

               ฟ้องของโจทก์ไม่แน่ชัดว่าประสงค์ให้เพิ่มโทษตามบทกฎหมายใด จึงต้องตีความให้เป็นคุณแก่
               จำาเลยทั้งสอง ที่ศาลอุทธรณ์เพิ่มโทษจำาเลยทั้งสองคนละหนึ่งในสามสำาหรับความผิดฐานมียา

               เสพติดให้โทษในประเภท ๑ ไว้ในครอบครองเพื่อจำาหน่ายจึงชอบแล้ว และเมื่อจะต้องลงโทษ



               กันยายน - ธันวาคม ๒๕๖๑                                                     225
   231   232   233   234   235   236   237   238   239   240   241