Page 93 - ดุลพาห เล่ม3.indd
P. 93
ดุลพาห
ต่อมาประธานศาลฎีกาจึงได้ออกระเบียบราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ว่าด้วย
การจ่ายสำานวนคดี พ.ศ. 2544 มาบังคับใช้ แต่ระเบียบฉบับนี้ก็ยังไม่ชัดแจ้ง หรือไม่มีคำานิยาม
หรือการอธิบายความหมายของถ้อยคำาที่บัญญัติไว้กล่าวคือ แม้การจ่ายสำานวนคดีจะกำาหนด
ให้ผู้บริหารศาลคำานึงถึงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับ
1) ความเชี่ยวชาญขององค์คณะผู้พิพากษาที่จะรับผิดชอบสำานวนคดี
2) ความเหมาะสมขององค์คณะผู้พิพากษาที่จะรับผิดชอบสำานวนคดี และ
3) ปริมาณคดีที่องค์คณะผู้พิพากษาแต่ละองค์คณะรับผิดชอบ
ปัญหาคือผู้พิพากษาส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าจะมีการจ่ายสำานวนคดีให้ตรงกับคุณสมบัติ
ของผู้พิพากษาเจ้าของสำานวนคดี และผู้พิพากษาในแต่ละศาลจะมีคุณสมบัติเฉพาะตัว
เพียงพอกับจำานวนคดีของแต่ละประเภทของคดีตามที่ระเบียบฉบับนี้กำาหนดไว้ (อัคญาณ
อารยะญาณ, 2545) กล่าวคือ อะไรคือหลักเกณฑ์เกี่ยวกับความเชี่ยวชาญ และความเหมาะสม
ขององค์คณะผู้พิพากษา รวมทั้งปริมาณคดีที่องค์คณะผู้พิพากษาแต่ละองค์คณะรับผิดชอบ
ตามระเบียบฉบับนี้ นอกจากนี้ ระเบียบฉบับนี้ยังมีช่องว่างโดยเปิดโอกาสให้แก่ผู้บริหาร
ศาลมีดุลพินิจอย่างกว้างขวางในการพิจารณาว่าจะจ่ายสำานวนคดีให้แก่ผู้พิพากษาคนใดหรือ
องค์คณะใดเป็นผู้พิจารณา
ผู้วิจัยจึงมีความสนใจศึกษาเกี่ยวกับประเด็นปัญหานี้ โดยเห็นว่าทฤษฎี และแนว
ความคิดของการจัดการแบบอ้างอิงหลักฐาน (Evidence-Based Management (EBM)) เป็น
ปรากฏการณ์ใหม่ในเรื่องของการบริหารจัดการโดยเฉพาะในภาครัฐ โดยมีหลักของการบริหาร
จัดการ หรือการตัดสินใจบนพื้นฐานของหลักฐานที่ดีที่สุด ซึ่งปัจจุบันถือว่าเป็นแนวความคิด
ใหม่ล่าสุดเกี่ยวกับการบริหารจัดการ โดย EBM มีรากฐานมาจากกระบวนการอย่างมีระบบ
ในการทบทวน การวิพากษ์ และการประเมินคุณค่าในการบริหารจัดการ เพื่อให้ได้หลักฐานเชิง
ประจักษ์ที่ดีที่สุดมาบริหารจัดการ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้มาจากหลายช่องทาง เป็นต้นว่า จาก
ประสบการณ์ จากการประเมิน จากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ หรือจากแนวทางการปฏิบัติ
ที่ดีที่สุด นอกจากนี้ EBM ยังมีรากฐานมาจาก Evidence-Based Policy หรือการกำาหนด
นโยบายในการบริหารจัดการที่อ้างอิงมาจากหลักฐานที่ดีที่สุด (Watson 2009; Moss and
Francis 2007; Pfeffer and Sutton 2006; Brindle and Stearns 2001)
82 เล่มที่ ๓ ปีที่ ๖๕