Page 52 - ประวัติศาสตร์จานเดียวพม่า
P. 52
ประวัติศาสตร์จานเดียว
การเรียกขานอีกพระนามว่า พระเจ้าช้างเผือก
ในช่วงนั้นอาณาจักรไทยของเราก็เข้มแข็งอยู่ประมาณหนึ่ง ที่ว่า
แบบนี้เพราะอย่าลืมว่าเรายังต้องส่งบรรณาการให้พม่าอยู่หลังจากขอ
เจรจาหย่าศึกในสมัยพระเจ้าตะเบงชเวตี้ ก่อนหน้านั้นก็มีเหตุวุ่นวายในราช
สำานัก เกิดการแย่งชิงอำานาจระหว่างฝ่ายราชวงศ์อู่ทอง สุโขทัย และสุพรรณ
ภูมิ แล้วยังต้องเจอศึกพม่าจนเสียสมเด็จพระสุริโยทัย ดีที่เรามีสมเด็จพระ
มหาจักรพรรดิที่ทรงไว้ซึ่งทศพิศราชธรรม หลายคนมองว่าพระองค์ดำาเนิน
นโยบายอ่อนข้อมากเกินไปเพราะติดจะใฝ่ในทางธรรม แท้จริงแล้วพระองค์
เป็นกษัตริย์นักรบที่เก่งกาจพระองค์หนึ่ง มิเช่นนั้นเราคงเสียกรุงไปตั้งแต่สมัย
พระเจ้าตะเบงชเวตี้นั่นแล้ว การขอหย่าศึกในตอนนั้นก็ใช่ว่าเราจะสู้ไม่ได้ ทั้ง
สองฝ่ายต่างยับเยินกันทั้งคู่ ขนาดพม่ายกทัพมามากมายก็ยังไม่อาจตีเอา
ไทยเราได้ พอมีการขอหย่าศึก พม่าก็ยินดีรับทันที เพราะขืนอยู่นานไปก็มี
แต่เสียกับเสีย
ทีนี้พอพระเจ้าบุเรงนองดำาเนินตามแผนหาเรื่องทำาศึกด้วยการ
ขอช้างเผือก ฝ่ายอยุธยาก็มีพระราชสาส์นกลับไปแบบเนียนๆ ว่า พญาช้าง
เผือกนั้นจะเกิดขึ้นแต่กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ หากพระเจ้ากรุงหงสาวดีเจริญทศพิศ
ราชธรรมให้สมบูรณ์แล้ว คชสารมงคลก็จะมาสู่พระองค์เอง เห็นไหมครับว่า
ไทยเรานี่ก็ร้ายใช่ย่อย ยอมใครง่ายๆ เสียที่ไหน ของมงคลแบบนี้ใครดีใครได้
หากอยากได้ก็ต้องหาเองสิครับ มาขอเอาดื้อๆ แบบนี้ไม่ไหว ก็คือตอกหน้า
พม่ากลับไปแบบสุภาพนั่นล่ะครับ พระเจ้าบุเรงนองจึงถือเป็นเหตุผลในการ
ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา
จริงๆ แล้วก็คือหาเรื่องจะทำาสงครามนั่นล่ะ แต่ยกมาดื้อๆ มันก็จะ
ดูอันธพาลไปหน่อย ก็แค่นั้น
ทัพของพระเจ้าสิบทิศยกกันมามากมายก่ายกอง ไล่ยึดเอาหัวเมือง
สำาคัญมาได้ทั้ง กำาแพงเพชร สุโขทัย พิษณุโลก ที่เมืองสองแควนี้ พระมหา
๔๔