Page 106 - พท21001
P. 106
97
ความหมายและแบบสรางของคําชนิดตาง ๆ
คํามูล
คํามูล เปนคําเดียวที่มิไดประสมกับคําอื่น อาจมี 1 พยางค หรือหลายพยางคก็ได แตเมื่อแยก
พยางคแลวแตละพยางคไมมีความหมายหรือมีความหมายเปนอยางอื่นไมเหมือนเดิม คําภาษาไทยที่ใช
มาแตเดิมสวนใหญเปนคํามูลที่มีพยางคเดียวโดด ๆ เชน พอ แม กิน เดิน เปนตน
ตัวอยางแบบสรางของคํามูล
คน มี 1 พยางค คือ คน
สิงโต มี 2 พยางค คือ สิง - โต
นาฬิกา มี 3 พยางค คือ นา - ฬิ - กา
ทะมัดทะแมง มี 4 พยางค คือ ทะ - มัด - ทะ - แมง
กระเหี้ยนกระหือรือ มี 5 พยางค คือ กระ - เหี้ยน - กระ - หือ - รือ
จากตัวอยางแบบสรางของคํามูล จะเห็นวาเมื่อแยกพยางคจากคําแลว แตละพยางคไมมี
ความหมายในตัวหรืออาจมีความหมายไมครบทุกพยางค คําเหลานี้จะมีความหมายก็ตอเมื่อนํา
ทุกพยางคมารวมเปนคํา ลักษณะเชนนี้ ถือวาเปนคําเดียวโดด ๆ
คําประสม
คําประสม คือ คําที่สรางขึ้นใหมโดยนําคํามูลตั้งแต 2 คําขึ้นไปมาประสมกัน เกิดเปน
คําใหมขึ้นอีกคําหนึ่ง
1. เกิดความหมายใหม
2. ความหมายคงเดิม
3. ความหมายใหกระชับขึ้น
ตัวอยางแบบสรางคําประสม
แมยาย เกิดจากคํามูล 2 คํา คือ แมกับยาย
ลูกน้ํา เกิดจากคํามูล 2 คํา คือ ลูกกับน้ํา
ภาพยนตรจีน เกิดจากคํามูล 2 คํา คือ ภาพยนตรกับจีน
จากตัวอยางแบบสรางคําประสม จะเห็นวาเมื่อแยกคําประสมออกจากกัน จะไดคํามูลซึ่งแตละ
คํามีความหมายในตัวเอง
ชนิดของคําประสม
การนําคํามาประสมกัน เพื่อใหเกิดคําใหมขึ้นเรียกวา “คําประสม” นั้น มีวิธีสรางคํา
ตามแบบสรางอยู 5 วิธีดวยกัน คือ
1. คําประสมที่เกิดจากคํามูลที่มีรูป เสียง และความหมายตางกัน เมื่อประสมกันเกิดเปน
ความหมายใหม ไมตรงกับความหมายเดิม เชน