Page 18 - Book
P. 18
ดร. วิชญ คือผมมองว่ามันอยู่เป้าหมายของงานแต่ละชิ้นนะครับ เราอยู่ในวงการศิลปะเราทราบดีว่า
งานบางชิ้นมีเป้าหมาย เราเห็นเป้าหมายในการสร้างว่าท าขึ้นมาเพื่อให้เราเคารพนับถือ
ศิลปิน ก็มีนะ กับงานบางชิ้นท ามาเพื่อให้เรา ‘โอ้ ท่าน’ ก็เป็นรูปแบบงานศิลปะแบบหนึ่ง
งานศิลปะบางชิ้นท าขึ้นมาเพื่อให้เราเข้าใจว่าไม่ได้ Add mine ไม่ได้เชิดชูศิลปินแต่เชิดชู
พระธรรม ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง งานศิลปะบางชิ้นที่เราพูดขึ้นมาผมว่าน่าสนใจ ของอาจารย์คา
มิน คือชัดเจนว่าท าขึ้นมาเพื่อจะบันทึกประสบการณ์ที่มีพุทธเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องก็เป็นอีก
รูปแบบหนึ่ง คราวนี้ผมคิดว่าต้องอย่าเอามาปนกัน ประเด็นคือวงการศิลปะเรามีที่ว่างเพียง
พอที่จะท าให้ผลงานที่อิงพุทธในแต่ละเป้าหมายนี้อยู่ร่วมกันได้ เหมือนที่พี่ต่อพูดเลย ถ้าแบบ
นี้มันต้องใจคนนี้ก็ต้องใจไป แบบนี้ต้องใจคนนี้ คือรสนิยมของคนที่จะดูงานศิลปะไม่
เหมือนกัน แต่จะเกิดปัญหาทันทีถ้าเราบอกว่า ผลงานศิลปะที่ท าให้เราชื่นชมตัวพระธรรม
ดีกว่าผลงานที่ท าให้เราเชิดชูตัวศิลปิน ผมว่าถ้าเรามาเปรียบเทียบกันอย่างนั้น พังเลย เพราะ
ศิลปินเขาไม่ได้คิดด้วยโจทย์เดียวกัน เขาไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน จะเอามาเปรียบเทียบว่าอันนี้
สูงส่งกว่าอันนี้ผมว่าไม่ดี เหมือนมีอยู่ช่วงหนึ่งที่พุทธศิลป์ดีกว่างานศิลปะทั่วไป ผมว่ามันคิด
แตกต่างกัน งานศิลปะเพื่อสังคมดีกว่างานศิลปะเพื่อศิลปะ Art for Art’s sake ก็เขาคิดคน
ละแบบ สังคมเราน่าจะมีพื้นที่กว้างพอที่จะท าให้อยู่ด้วยกันได้ ความส าคัญคือคนสร้างงาน
มากกว่า อย่าหลง ถ้าเราท าเพื่อแบบนี้ก็บอกว่าเราท าเพื่อแบบนี้ ไม่ต้องท าให้ตัวเองรู้สึก
‘เห้ย ถ้าเราบอกแบบนี้มันจะดูไม่ดี เรา Present ตัวเองเป็นแบบนี้ดีกว่า’ พอเราก ากวมปั๊บ
คนดูงานเขารู้ คนดูงานไม่ได้โง่นะครับ คนดูงานเขาก็รู้ว่า ‘เห้ย นี่มันไม่ตรงนิ ท าไมถึงเป็น
แบบนี้’ ก็จะเกิดปัญหาตามมา
คุณณัฐพล คือตัวผู้ผลิตงานศิลปะเอง ก็ควรจะซื่อสัตย์ต่อตนเองตั้งแต่แรก หรือว่ายังไงครับ ?
ดร. วิชญ ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ
คุณณัฐพล คือมันไม่ได้เกี่ยวกับผู้ชมแล้วคราวนี้ มันเป็นคู่ขนานกันระหว่างผู้ชมกับผู้สร้างงาน คืองาน
ศิลปะมันเป็นสื่ออยู่แล้วว่ามันจะต้องมีผู้สร้างงานกับผู้รับงาน ผู้สร้างสาร ผู้สื่อสาร กับผู้รับ
สาร ซึ่งตรงนี้ครับมันอาจจะเกิดข้อสงสัย คือในฐานะที่เคยเป็นนักเรียนแล้วก็เชื่อว่าหลาย ๆ
คนก็อาจจะเคยสงสัยเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ คือมันจะย้อนกลับไปในเรื่องของการปฏิบัติอีกว่า
ถ้าไม่ปฏิบัติก็ไม่รู้หรอก ซึ่งตรงนี้ครับอยากทราบว่าความสงสัยจริง ๆ แล้วนั้นมันเป็น
ประโยคใช่ไหม หรือว่ามันไม่ได้สร้างสรรค์ มันไม่ได้น าพาไปสู่การที่เราจะเข้าใจชุดความคิด
ใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นพุทธหรือว่าอะไรก็ตาม พี่ต่อมองมันยังไงครับ ?
คุณธนญชัย ความสงสัยนั้นคืออะไรละครับ ?