Page 72 - บทเรียนการสื่อสาร
P. 72

เรื่องที่ 3  “หมอจะเป็นคนแรกที่รู้ ถ้าหนูจะฟ้ องโรงพยาบาล”


                          ผมก าลังพาเรสิเด้นต์ (resident = หมอที่ก าลังเรียนเป็นหมอเฉพาะทาง) ราวนด์ (round
                                                    ่
                            ่
                   = ดูแลผู้ปวย) ที่วอร์ด (ward = หอผู้ปวย) ซึ่งเป็นกิจกรรมประจ าวันของครูแพทย์ เรสิเด้นต์พา
                            ่
                   เรามาดูผู้ปวยรายสุดท้ายก่อนที่จะแยกย้ายกันไปรับประทานอาหารกลางวัน ตอนนั้นเป็นเวลา
                   ประมาณเที่ยงครึ่ง ในใจของผมคิดว่าจะใช้เวลาไม่นานนัก พวกเราก็รู้สึกหิวแทบแย่แล้ว แต่
                   เหตุการณ์ก็ไม่เป็นไปตามคาด
                                                                        ่
                                                                                           ั
                          เรซิเด้นท์พรีเซ้นต์ (present = เสนอ) ประวัติของผู้ปวยเด็กคนหนึ่งให้ผมฟงในรูปแบบ
                   มาตรฐานและเรียบง่าย แต่เรื่องราวกลับกระแทกใจของผมอย่างรุนแรง

                          “น้องอายุขวบนึง ผ่าตัดหัวใจแล้วเกิดคาดิแอ็กอาเรสต์ (cardiac arrest = หัวใจหยุด
                                                                                    ั๊
                   เต้น) ซีพีอาร์ (CPR = cardiopulmonary resuscitation = การกู้ชีวิต, การปมหัวใจ) ขึ้นมา
                   เกิดเบรนไฮปอกเซีย (brain hypoxia = สมองขาดออกซิเจน) ไประยะหนึ่ง เด็กแอ็ดมิต (admit
                   = รับไว้รักษาในโรงพยาบาล) มาหลายเดือนแล้ว”
                                ั
                          หลังฟงเรื่องราวที่เรซิเด้นต์พรีเซ้นต์ ผมมีความรู้สึกเป็นห่วงคุณพ่อคุณแม่ของเด็ก
                   มากกว่าตัวเด็กเสียอีก ข่าวร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อสองเดือนที่แล้ว ตลอดจนความเครียดที่เกิดจาก

                   ผลกระทบที่ตามมา คงท าให้สมาชิกในครอบครัวนี้เกิดโครนิกสเตรส (chronic stress =
                   ความเครียดเรื้อรัง) เป็นแน่
                                                            ่
                                                                                                ่
                          ผมไม่รีรอที่จะเดินเข้าไปในห้องของผู้ปวยรายนี้ และภาพที่เห็นก็คือ ภาพของผู้ปวยเด็ก
                        ้
                            ้
                   นอนปอแปอยู่บนเตียง มีสายน ้าเกลือ มีสายยางส าหรับฟี้ดอาหาร (feed = ให้อาหาร) ข้างๆ
                   เตียงมีผู้หญิงสาววัยเกือบสามสิบยืนเตียงข้างอยู่ ด้วยใบหน้าที่ดูเฉยชาและเหม่อลอย ดูไร้
                   ความสุขและมีความตึงเครียดไม่น้อย

                          “สวัสดีครับคุณแม่ หมอชื่อหมอ... เดือนนี้ทําหน้าที่เป็นเจ้าของไข้ของลูกคุณแม่ครับ เมื่อ
                                                                 ั
                   กี้คุณหมอ (เรซิเด้นต์) ได้เล่าประวัติของน้องให้หมอฟง (ทักทาย) (แล้วเงียบไปชั่วครู่)... คุณแม่
                   เป็นไงบ้างครับ คงเหนื่อยมากซิครับ (รับความรู้สึก)”
                          ไม่เคยนึกเลยว่าวลีสั้นๆ ที่ว่า “คุณแม่คงเหนื่อยมากซิ” จะท าให้คุณแม่คนนี้ถึงกับต้อง

                   เสียน ้าตาและปล่อยโฮทันที ท่ามกลางความมึนงงของพวกเราในฐานะทีมแพทย์ผู้รักษา
                                                                           ้
                                                                                                   ่
                          ผมสัมผัสมือคุณแม่เบาๆ และเชื้อเชิญให้นั่งลงบนเตียงเฝาไข้ที่อยู่ข้างๆ เตียงของผู้ปวย
                   พร้อมกับเริ่มบทสนทนาทันที
                          “ดูคุณแม่จะมีเรื่องไม่สบายใจ มีอะไรที่จะให้หมอช่วยเหลือบ้างไหมครับ (เปิดประเด็น

                   ด้วยการรับรู้ความรู้สึกของคุณแม่)”
                          “ขอบคุณคุณหมอมากค่ะที่ให้ความสําคัญกับตัวหนู... (แล้วร้องไห้)”

                          บทสนทนาในวันนั้นรวมทั้งข้อมูลที่เราค่อยๆ น ามาปะติปะต่อได้สร้างความกระจ่าง
                   ให้กับทีมรักษาพยาบาล ดูแล้วเหมือนกับการดูละครฉากแล้วฉากเล่า ม่านของละครแต่ละฉาก

                   ได้ค่อยๆ เปิดออกทีละชั้น จนกระทั่งถึงชั้นซึ่งเป็นที่อยู่ของหัวใจของคุณแม่คนนี้





                                                                                                    72
   67   68   69   70   71   72   73   74   75   76   77