Page 69 - บทเรียนการสื่อสาร
P. 69
เรื่องที่ 2 “เด็กไม่ยอมพูดกับผม”
หน้าที่ส าคัญของครูแพทย์ประการหนึ่งคือ การสอนนักเรียนแพทย์ให้มีความพร้อมที่จะ
อยู่ได้ในโลกใบนี้อย่างมีความสุข และด้วยความเป็นหัวกะทิของพวกเขา คงไม่ยากนักที่จะท าให้
ั้
เขาเป็นคนเก่ง แต่ก็ไม่ง่ายนักที่จะปนให้เขาเป็นคนดี และที่ยากที่สุดคงไม่พ้นหน้าที่ที่ต้องสร้าง
ให้เขาอยู่รอดในสั่งคมที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง และมีความสุขในการปฏิบัติงานที่ถือว่า “ต้อง
เสียสละ”
หลายคนอาจมองว่าเป็นหมอแล้วรวย มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และมีความสุข ซึ่งมันก็เป็น
่
ความจริงอยู่ไม่น้อย แต่หากมองอีกหลายๆ มุมของกล่อง จะพบว่ากว่าจะมาเป็นหมอได้ต้องฝา
ั
ฟนด่านอรหันต์มากมายจึงจะเข้าสู่รั้วของโรงเรียนแพทย์ได้ และทันทีที่ย่างเท้าเข้าสู่รั้ว
มหาวิทยาลัย สิ่งที่อาจเกินความคาดหมายของหลายๆ คนก็เริ่มต้นขึ้น การเรียนที่หนักกว่าการ
เรียนทั่วไปจนแม้แต่เด็กที่เก่งระดับคว้ารางวัลมากมายจากการเรียนในชั้นมัธยมยังถอดใจ
มาแล้ว เรียนแบบไม่มีวันหยุดให้พักผ่อนนานๆ เหมือนกับเด็กมหาวิทยาลัยทั่วไป ขาดชีวิตของ
การเป็นวัยรุ่นที่ยังต้องการความสนุกสนานและการแสวงหา และใช้เวลาในการเรียนนานกว่า
เพื่อนๆ คณะอื่น (ในขณะที่เพื่อนๆ ได้รับเงินเดือนกันแล้ว เขาก็ยังต้องเรียนโดยใช้เงินจากพ่อ
แม่ต่อไป) การเรียนที่ไม่มีวันจบ เรียกกันว่า “เรียนกันตลอดชีวิต” ก็ว่าได้ เมื่อเริ่มท าหน้าที่เป็น
้
คุณหมอ ก็ต้องเผชิญกับความคาดหวังในสังคม มีเรื่องราวถูกฟองร้องไม่เว้นแต่ละวัน จนหลาย
คนตั้งค าถามว่า “เป็นหมอผิดไม่ได้ พลาดไม่ได้ จริงหรือ”
วันหนึ่งผมต้องท าหน้าที่ราวนด์นักเรียนแพทย์ปี 4 เป็นปีแรกที่พวกเขาได้ขึ้นปฏิบัติงาน
บนวอร์ด ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่ย่อมท าอะไรเฟอะฟะไปบ้าง ผมเริ่มต้นด้วยให้เขาช่วยคิดว่าจะให้
่
ั
เราสอนอย่างไรโดยให้เสนอปญหาและข้อขัดข้องที่พวกเขาพบเวลาดูแลผู้ปวย โดยหวังว่าการ
สอนโดยยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลางมากกว่าที่จะเป็นการตามใจผู้สอนแบบวิธีสอนในอดีตจะช่วย
่
่
ให้พวกเขาสามารถเชื่อมโยงไปสู่ความเข้าใจในการดูแลผู้ปวยโดยยึดผู้ปวยเป็นศูนย์กลาง
เพิ่มขึ้น
่
นักเรียนคนหนึ่งบอกว่า ไม่รู้จะท าอย่างไรกับผู้ปวยเด็กคนหนึ่งซึ่งไม่ยอมเอ่ยปากพูดกับ
เขาเลย เวลาเข้าไปตรวจจะไม่แสดงความสนใจ ท าราวกับว่าไม่มีหมอยืนอยู่ในห้องนั้น บางครั้ง
ั
ก็แกล้งหลับหรือหันหลังให้ ผมฟงแล้วดูเป็นเรื่องที่ท้าทายอยู่ไม่น้อย รู้สึกไม่มั่นใจว่าความเก๋า
ของผมจะช่วยท าให้เด็กคนนั้นยอมพูดกับผม แต่อยากจะท าความเข้าใจมากกว่าว่า “ท าไม” เขา
จึงมีปฏิกิริยาเช่นนั้น เพราะวัยของเขาเองหรือเพราะตัวโรคที่เขาเป็น ความรู้สึกอยากแหวกม่าน
เข้าไปดูสิ่งที่อยู่ข้างหลังจึงเกิดขึ้น พวกเราพากันเดินเข้าไปในห้องตรวจโดยที่ผมไม่รู้มาก่อนว่า
เด็กเป็นโรคอะไร คิดจะค้นหาจากสิ่งที่คุณแม่เล่า ลึกๆ ก็อดรู้สึกหวาดหวั่นไม่ได้ว่าจะเกิดอะไร
ขึ้น และเด็กจะยอมพูดคุยกับเราง่ายๆ ได้จริงหรือ
่
ผมเดินน านักเรียนแพทย์จ านวนสัก 10 คน เห็นจะได้ เข้าไปในห้องของผู้ปวยซึ่งได้รับ
่
การแยกไว้ให้อยู่โดยล าพัง เนื่องจากผู้ปวยเพิ่งไปติดโรคอีสุกอีใสมา เป็นเด็กผู้ชายอายุสัก 7-8
69