Page 19 - สัตว์ที่เรียกว่ามนุษย์
P. 19
สัตว์ที่เรียกว่ามนุษย์
เพื่อให้เธอสามารถรู้เท่าทัน จะได้ไม่หลงทางกับวงจรลวงอันเป็นสมมติบัญญัตินี้ เพราะความไม่รู้ในทุกข์
ความไม่รู้ในเหตุเกิดแห่งทุกข์ ความไม่รู้ในความดับทุกข์ ความไม่รู้ในการปฏิบัติที่จะให้ถึงความดับทุกข์ที่
เรียกว่า “อวิชชา” นี่เธอจงรู้ว่าเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย (กายสังขาร วจีสังขาร มโน
สังขาร) เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ (จักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหา
วิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป (เวทนา สัญญาเจตนา
ผัสสะ มนสิการ เรียกว่านาม มหาภูตรูป ๔ และรูปอันอาศัยมหาภูตรูป ๔ เรียกว่ารูป) เพราะนามรูปเป็น
ปัจจัย จึงมีสฬายตนะ (อายตนะ ๖ คู่ได้แก่ ตากับรูป หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับ
โผฏฐัพพะ ใจกับธรรมารมณ์) เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ(จักษุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส
ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส) เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา(สุขเวทนา ทุกขเวทนา อมสุขอม
ทุกข์เวทนา:อันเกิดเพราะจักษุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส) เพราะ
เวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา(กามตัณหา ภาวะตัณหา วิภาวะตัณหา:ตัณหาในรูป ตัณหาในเสียง ตัณหา
ในกลิ่น ตัณหาในรสชาด ตัณหาในโผฏฐัพพะ ตัณหาในธรรมารมณ์) เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุป
ปาทาน (กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน) เพราะอุปปาทานเป็นปัจจัยจึงมี
ภพ(กามภพ รูปภพ อรูปภพ) เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ (ความเกิด บังเกิด หยั่งลง การได้อายตนะครบ
ในหมู่สัตว์ ความปรากฏแห่งขันธ์) เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส ทั้ง
มวลจึงเกิดขึ้น เธอจงสกัดอย่าให้วิญญาณอันเป็นเอกภาวะซุกซนพาจิตเพลิดเพลินวิ่งท่องเที่ยวเสวย
อารมณ์ไปมาในขันธ์ทั้งสี่อันได้แก่รูป เวทนา สัญญา สังขาร อันเป็นนานาภาวะนี้ จนจิตขาดความตั้งมั่น
ฟุ้งซ่านเพลิดเพลินหาทางออกไม่เจอ เพื่อให้เธอรู้จักทางออกสายเอก แทงตลอดด้วยดีในกองกุศลพ้น
ออกไปได้จากกองอกุศลคือนิวรณ์ ๕ นี้ (อันประกอบด้วย พอใจในกาม พยาบาท ฟุ้งซ่าน หดหู่ท้อถอย
ลังเลสงสัย) เธอจงเจริญอานาปานสติ และเจริญอย่างไรท าให้มากแล้วอย่างไรจึงจะบ าเพ็ญสติปัฏฐาน
๔ ให้บริบูรณ์ได้ ตถาคตตรัสสอนภิกษุทั้งหลายไว้ดังนี้ว่า
๑. เวลาใดเมื่อหายใจออกยาวก็รู้ชัดว่าหายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาวก็รู้ชัดว่าหายใจเข้า
ยาว เมื่อหายใจออกสั้นก็รู้ชัดว่าหายใจออกสั้นหรือเมื่อหายใจเข้าสั้นก็รู้ชัดว่าหายใจเข้าสั้น ตระหนักอยู่
ว่าเราจะเป็นผู้ก าหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก ว่าเราจะเป็นผู้ก าหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้า
ตระหนักอยู่ว่าเราจะระงับกายสังขาร หายใจออก ว่าเราจะระงับกายสังขาร หายใจเข้า ในเวลานั้น
ผู้ปฎิบัติชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกาย มีความเพียร รู้สึกตัวมีสติ ก าจัดความพอใจและไม่พอใจในโลก
เสียได้อยู่ดังนี้ ตถาคตกล่าวว่าลมหายใจออกลมหายใจเข้านี้ว่าเป็นกายชนิดหนึ่งในพวกกายเพราะฉะนั้น
~ ๑๘ ~ หญ้าพันปี