Page 41 - รวมอารยธรรมเกือบเสร็จ
P. 41
๓๗
กว้างขวางซึ่งผลที่ตามมาอย่างหนึ่งก็คือได้ท าให้ขบวนการภาคประชาชนมีการเคลื่อนไหวมากขึ้น (สมศักดิ์
สามัคคีธรรม, ๒๕๔๕ : ๑๑๕-๑๑๖ ) ขณะเดียวกันก็ท าให้เกิดการพัฒนาทางการเมืองในแง่ที่ว่าท าให้
สถาบันการเมืองการปกครองมีความเข้มแข็งโดยเฉพาะในเรื่องของพรรคการเมือง แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้
กลับส่งผลให้เกิดปัญหาที่ตามมาหลายประการ โดยเฉพาะความขัดแย้งของการเคลื่อนตัวทางการเมือง
ระหว่างเผด็จการประชานิยมและประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมในเวลาต่อมา (เอก ตั้งทรัพย์วัฒนา , ๒๕๔๘
: ๒ )
หลังการปฏิรูปทางการเมืองรัฐบาลที่มีบทบาทเด่นเป็นรัฐบาลที่มาจากพรรคไทยรักไทยน าโดย
พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร รัฐบาลชุดนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นรัฐบาลที่มีลักษณะของเผด็จการประชานิยม ซึ่งก็
คือรูปแบบทางการเมืองที่เห็นชอบธรรมทางการเมืองเกี่ยวกับประชาชนโดยเป้ าหมายทางการเมืองต่างๆ ที่
จะถูกท าให้ลุล่วงได้โดยวิธีการที่ใช้ความสัมพันธ์โดยตรงระหว่ารัฐบาลและประชาชนมากกว่าจะใช้สถาบัน
การเมืองอื่นๆ ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงการที่ผู้น าที่มีบารมีที่ใช้ช่องทางทางการเมืองอ้อมผ่านชนชั้น
น าทางการเมืองอื่นๆ และเรียกร้องโดยตรงจากประชาชน ภายใต้แนวคิดแบบนี้รัฐบาลไทยรักไทยจึงได้
เสนอภาพลักษณ์ของตนเองในฐานะที่เป็นผู้แก้ปัญหาและน าประเทศหลุดพ้นจากวิกฤตภาวะทางเศรษฐกิจ
เป็นรัฐบาลที่ช่วยเหลือประชาชนในโครงการต่างๆ เช่น โครงการเอื้ออาทร เป็นต้น ซึ่งการบริหารประเทศ
ในลักษณะนี้จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ในแง่มุมต่างๆ แต่ก็เป็นจุดเปลี่ยนส าคัญของการเมืองไทยในทศวรรษนี้
การจัดรูปแบบการปกครองสมัยประชาธิปไตย
ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๗๕ นั้น พระมหากษัตริย์ทรงลด
พระองค์มาอยู่ใต้อ านาจรัฐธรรมนูญ ส่วนการจัดการปกครองคณะผู้ก่อการปฏิวัติแบ่งการด าเนินงาน
ออกเป็น ๓ ระยะ ระยะที่หนึ่ง นับตั้งแต่การประกาศใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม
ชั่วคราว พ.ศ. ๒๕๗๕ ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน จนกว่าจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คณะ
ผู้ก่อการให้มีการแต่งตั้งผู้แทนราษฎรขึ้น ๗๐ นาย ท าหน้าที่นิติบัญญัติและเลือกคนคณะหนึ่งจากสภา
ผู้แทนราษฎรนี้จ านวน ๑๕ คน เข้าท าหน้าที่บริหาร เรียกว่า “คณะกรรมการราษฎร” ระยะสอง ภายใน ๖
เดือน หรือจนกว่าจะจัดประเทศเป็นปกติ จะมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ๒ ประเภท คือ ประเภท ๑ ราษฎร
เลือกตั้งจังหวัดละ ๑ คน ถ้าเกินกว่า ๑แสนคน ก็เพิ่มอีก ๑ คน ทุก ๑ แสนคร และสมาชิกผู้แทนราษฎร
ประเภทที่ ๒ ซึ่งเป็นอยู่แล้วในระยะที่หนึ่งมีจ านวนเท่ากัน ระยะที่สาม เมื่อราษฎรได้รับการศึกษามากกว่า
ครึ่งหรือภายใน