Page 7 - รวมอารยธรรมเกือบเสร็จ
P. 7

๓




               จนเกิดเหตุการณ์ใน พ.ศ.๒๔๑๘ คือมีการวิวาทขึ้นระหว่างฝ่ายวังหน้ากับวังหลวงเหตุการณ์รุนแรงถึงขนาด

               วังหน้าต้องเสด็จหนีไปใช้สถานกงสุลอังกฤษเป็ นสถานที่ลี้ภัยทางการเมือง ในขณะที่เหตุการณ์

               ภายในประเทศวุ่นวาย ภัยภายนอกจากลัทธิล่าอาณานิคมก็คุกคามพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัวทั้ง

               ทรงเห็นความจ าเป็นที่ต้องรักษาเสถียรภาพของประเทศไทยไว้ด้วยการสร้างอ านาจให้แก่รัฐบาล คือ ให้แก่

               องค์พระมหากษัตริย์เพื่อจะได้ทรงเป็นผู้วางแผนปฏิรูปการปกครองให้รัดกุมและเหมาะสมกับสถานการณ์

               ดังนั้นจึงได้ทรงด าเนินนโยบายต่างๆ ที่ต้องรีบจัดท าอันดับแรกก็คือ การวางรากฐานทางอ านาจ โดยสองปี

               หลังจากขึ้นครองราชย์ (พ.ศ.๒๔๑๓) ได้ทรงตั้งกรมมหาดเล็กขึ้นเพื่อเป็ นเสมือนกองทัพของ

               พระมหากษัตริย์และในต้นปี พ.ศ.๒๔๑๖ ได้ทรงออกพระราชบัญญัติหอรัษฎากรพิพัฒน์รวบรวมการเก็บ


               ภาษีเข้าสู่ศูนย์กลางเป็นการลิดรอนอ านาจของกรมกองต่างๆ ซึ่งเคยมีอ านาจเก็บภาษีเองพร้อมทั้งทรงกระท า

               พิธีบรมราชาภิเษกเป็นครั้งที่ ๒ เนื่องจากมีพระชนมายุครบ ๒๐ พรรษา อันเป็นการบรรลุนิติภาวะโดย

               สมบูรณ์การกระท าพิธีดังกล่าวเป็นการแสดงให้เห็นว่าพระองค์พร้อมที่จะขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์บริหาร

               แผ่นดินได้เอง หลังพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเริ่มการปฏิรูปอย่าง

               รีบด่วนได้ทรงตราพระราชบัญญัติขึ้น ๔ ฉบับคือ พระราชบัญญัติว่าด้วยรัฐมนตรีสภาและองคมนตรีสภา

               พระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดการพระคลังทั้งปวง พระราชบัญญัติตุลาการศาลรับสั่งและพระราชบัญญัติ

               พิกัดเกษียณอายุลูกทาสลูกไทย ถือเป็นการปฏิรูปทางด้านกฎหมายการคลังและสังคม ซึ่งผลของการ

               ด าเนินการปฏิรูปดังกล่าวก็ได้ก่อให้เกิดความตึงเครียดระหว่างกลุ่มของผู้ส าเร็จราชการและกลุ่มของ

               พระองค์ จนส่งผลให้เกิดความแตกแยกในราชส านักอย่างรุนแรง จนเกิดการต่อต้านจากกลุ่มหัวเก่าและ


               ลุกลามใหญ่โตจนกลายเป็นเหตุการณ์วิวาทระหว่างฝ่ายวังหลวงและวังหน้า ซึ่งความตึงเครียดดังกล่าวท าให้

               รัชกาลที่ ๕ ทรงหยุดการปฏิรูปทุกๆด้านเป็นเวลาร่วม ๑๐ ปี แต่ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวเมื่อฝ่ายกลุ่มหัวเก่า

               คือฝ่ายสกุลบุนนาคเริ่มอ่อนอ านาจสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ก็ชราภาพ เหล่าลูกหลานในตระกูล

               บุนนาคก็ค่อยๆหมดบทบาทลง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงวางรากฐานอ านาจของ

               พระองค์โดยตั้งพระราชโอรสและพระอนุชา เข้ารับราชการในต าแหน่งต่างๆ เช่น กรมหมื่นเทววงศ์วโร

               ปการเป็นเจ้ากรมท่า กรมหมื่นภูธเรศธ ารงศักดิ์เป็นเสนาบดีกรมเมือง พระองค์เจ้าโสภณบัณฑิตเป็นกรมพระ

               คลัง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีทหารมหาดเล็กและมีหน่วยทหารเรือ (นาวิกโยธิน) ในสังกัดอีกจ านวนมาก

               ในช่วงที่การปฏิรูปในเมืองได้ชะลอตัวนั้น ได้มีการปฏิรูปการปกครองของทางหัวเมืองขึ้นแบบค่อยเป็นค่อย

               ไป โดยรัฐบาลส่งข้าหลวงไปประจ าที่เชียงใหม่ ภูเก็ต พระตะบอง หนองคาย จ าปาศักดิ์ นครราชสีมา


               อุบลราชธานี เพื่อรวมอ านาจรัฐบาลกลางให้กระชับและใกล้ชิดกับหัวเมืองยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีการ
   2   3   4   5   6   7   8   9   10   11   12