Page 12 - รวมอารยธรรมเกือบเสร็จ
P. 12
๘
ช่วยปรับปรุงบ้านเมืองและงานแขนงต่างๆ ให้เจริญขึ้นตามแบบตะวันตกอันเป็นแนวทางหนึ่งที่จะปกป้ อง
ผลประโยชน์และอธิปไตยของประเทศชาติ
ที่ปรึกษาชาวต่างประเทศที่เข้ามารับราชการในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น
มีอยู่เป็นจ านวนมาก เช่น ใน พ.ศ.๒๔๕๐ มีถึง ๒๔๗ คนในจ านวนนี้จะเป็นชาวอังกฤษมากที่สุด ชาติอื่นๆ
ก็มี เดนมาร์ก อิตาลี ฝรั่งเศส อเมริกัน โปรตุเกส เยอรมัน ฮอลันดา รุสเซีย เบลเยี่ยม นอร์เวย์ สเปน ที่ปรึกษา
ชาติเหล่านี้จะท าหน้าที่ต่างกันไปตามความถนัดของตน เช่น ชาวอังกฤษท าหน้าที่รับผิดชอบด้านการคลัง
การค้าภาษี มหาดไทย เกษตรกรรม ชลประทาน การศึกษา การรถไฟ ชาวเดนมาร์กรับผิดชอบเกี่ยวกับ
ทหารเรือและต ารวจ ชาวอิตาลีมุ่งไปทางสถาปัตยกรรม วิศวกรรม ดูแลงานส านักพระราชวัง ชาวฝรั่งเศส
ส่วนใหญ่จะเชี่ยวชาญทางกฎหมายงานในหน้าที่ของที่ปรึกษาชาวต่างประเทศแบ่งออกเป็นหลายต าแหน่ง
ได้แก่ ที่ปรึกษาราชการทั่วไป ที่ปรึกษาประจ ากระทรวงกรมต่างๆ ที่ปรึกษาราชการแผ่นดินซึ่งจะมีสิทธิ์ขาด
ในอ านาจมากเพราะคอยควบคุมและประสานงานแนะน ากิจการทั่วๆไปทุกหน่วยงานเพื่อฝึกฝนให้คนไทยมี
ความช านาญพอจะจัดการงานต่างๆ ได้ด้วยตนเองต่อไป อนึ่งในช่วงสมัยนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวได้ทรงกระชับสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับนานาประเทศทั้งในเอเชียและยุโรปโดยการเสด็จเยือน
ประเทศต่างๆ หลายครั้ง ได้แก่ สิงคโปร์ ชวา มลายู พม่า และยังเสด็จประพาสประเทศต่างๆ ทางยุโรปซึ่ง
การด าเนินนโยบายดังกล่าวท าให้ประเทศไทยได้ท าสัญญาไมตรีกับประเทศต่างๆ เช่น รุสเซีย สเปน
ออสเตรีย ฮังการี และญี่ปุ่น อันน ามาซึ่งประโยชน์ของไทยต่อไป
ข. การปรับปรุงงานด้านการยุติธรรม
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมในสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่มีผลต่อคนส่วนใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง คือ การปฏิรูป
กระบวนการยุติธรรม แต่ก่อนกระบวนการด้านยุติธรรมไม่ได้แยกเป็นอิสระจากฝ่ายบริหาร ฝ่ายบริหารมี
อ านาจหน้าที่ทางด้านยุติธรรมด้วย เช่น ศาลกรมวัง ศาลกรมนา ขั้นตอนในการด าเนินคดียุ่งยากสับสน
กฎหมายที่ใช้ยังไม่เป็นไปตามหลักสากลท าให้เกิดความล าบากในการให้ความยุติธรรมแก่คู่กรณีและการ
ด าเนินคดีก็ยังเป็นไปอย่างล้าช้า ใน พ.ศ.๒๔๓๔ ได้มีการจัดตั้งกระทรวงยุติธรรมขึ้น มีการแก้ไขระเบียบ
ศาลยุติธรรมใหม่ จัดตั้งศาลโปริสภาขึ้นในกรุงเทพฯ เพื่อตัดสินคดีความที่มีโทษสถานเบา ต่อมาได้
กลายเป็นศาลแขวง และยังมีการจัดตั้งศาลมณฑลและศาลเมืองตามหัวเมืองต่างๆ ไม่ให้มีคดีคั่งค้างอยู่นาน
ต่อมามีการตราพระธรรมนูญศาลยุติธรรมก าหนดศาลออกเป็น ๓ ประเภท คือ ศาลฎีกา ศาลสถิตยุติธรรม
กรุงเทพฯและศาลหัวเมือง ศาลแรกขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ ส่วนอีก ๒ ศาลขึ้นต่อกระทรวงยุติธรรมซึ่ง