Page 11 - รวมอารยธรรมเกือบเสร็จ
P. 11
๗
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเจ้าอยู่หัว ฐานะขององค์พระมหากษัตริย์และความสัมพันธ์ระหว่าง
พระมหากษัตริย์กับพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่อยู่ในสภาพไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งต่างจากสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่
พระบรมวงศานุวงศ์เหล่านี้ต่างมีบทบาทในการเป็นที่ปรึกษารวมทั้งยังเป็นก าลังส าคัญของทางราชการ
ให้กับพระองค์ ความสัมพันธ์ในลักษณะดังกล่าวจึงเป็นการบั่นทอนต่อเอกภาพของราชวงศ์เป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ เสด็จขึ้นครองราชย์ในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน
๒๔๖๘ แล้ว พระองค์มีการประกาศตั้งอภิรัฐมนตรีขึ้นเพื่อให้พระราชวงศ์รวมตัวกันและจะท างานกันได้
อย่างกลมเกลียว ขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงเห็นว่าควรจะขอค าปรึกษาจากพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ซึ่ง
มีประสบการณ์ในราชการและเป็นผู้ที่ได้รับความเชื่อถือจากประชาชน ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นการสร้าง
เสถียรภาพให้กับองค์พระมหากษัตริย์ นอกจากนี้รัชกาลที่ ๗ ก็ยังเริ่มปูพื้นฐาน การปกครองระบอบรัฐสภา
ด้วยการตราพระราชบัญญัติองคมนตรีสภา พ.ศ.๒๔๗๐ และทรงจัดตั้งสภากรรมการองคมนตรีขึ้น
เพื่อที่จะให้ฝึกงานทางกิจการรัฐสภาด้วยวิธีมอบร่างพระราชบัญญัติส าคัญๆ เช่น การพิจารณาประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นต้น (ชัยอนันต์ สมุทวณิช , ม.ป.ป :๘๓’๙๔) อย่างไรก็ตามเนื่องจากรัชกาลที่
๗ ได้ทรงตระหนักมาก่อนแล้วว่าชนชั้นกลางมีความรู้สึกตื่นตัวทางการเมืองและไม่พอใจในกลไกบางอย่าง
ของพระเจ้าแผ่นดินโดยเฉพาะข้าราชบริพารที่ใกล้ชิดจึงได้ทรงพยายามแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ เช่น ทรง
ปรับปรุงแก้ไขสภาองคมนตรีซึ่งเป็นสภาที่ปรึกษาราชการในพระองค์ที่มีมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ และมีสมาชิก
ถึง ๒๒๗ คน ซึ่งมากเกินไปเสียใหม่ ด้วยการออกพระราชบัญญัติองคมนตรี พ.ศ.๒๔๗๐ ประกอบด้วย
สมาชิก ๔๐ คน เพื่อใช้เป็นเครื่องทดลองและเรียนรู้วิธีการประชุมปรึกษาของรัฐสภา นอกจากนี้ยังฟื้นฟู
เสนาบดีสภาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ให้มีการประชุมกันอย่างเสมอ
ในสมัยปรับปรุงประเทศนี้ ที่ปรึกษาที่เป็นชาวต่างประเทศนับว่ามีความส าคัญไม่น้อยเนื่องจากมี
บทบาทต่อการให้ค าปรึกษาแก่คณะรัฐบาลไทยหลายเรื่อง การว่าจ้างที่ปรึกษาชาวต่างประเทศดังกล่าวส่วน
หนึ่งเป็นผลมาจากเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตซึ่งเป็นปัญหาส าคัญที่รัฐบาลให้ความสนใจและมีความ
พยายามที่จะขอเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคกับต่างชาติขึ้นโดยใช้วิธีการขอความเห็นใจ วิธีการ
ดังกล่าวจะมีการยกดินแดนบางส่วนให้เพื่อเป็นการตอบแทน ซึ่งไทยเองต้องยกดินแดนฝั่งขวาแม่น ้าโขง
ให้กับฝรั่งเศสในปี พ.ศ.๒๔๔๖ เพื่อแลกเปลี่ยนกับสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและผลประโยชน์จากการจด
ทะเบียนคนในบังคับส่วนอังกฤษนั้นไทยต้องยอมยกดินแดนรัฐมลายู ๔ รัฐ คือ กลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี
ปะลิศ และหัวเมืองเงี้ยวในแม่ฮ่องสอนให้เพื่อแลกกับสิทธิในทางการศาลโดยให้คนในบังคับอังกฤษทั้งหมด
ขึ้นศาลต่างประเทศ ซึ่งการสูญเสียผลประโยชน์ต่างๆ นั้นท าให้รัชกาลที่ ๕ ทรงได้จ้างชาวต่างประเทศเข้ามา